สรุปงบล่าสุด GFC

บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
## สรุปผลประกอบการหุ้น GFC ปี 2567: บทวิเคราะห์เจาะลึกทุกมิติ (อัปเดตข้อมูลเพิ่มเติม)
บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC รายงานผลประกอบการปี 2567 โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 371.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.85% เมื่อเทียบกับปี 2566 แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่ท้าทายในไตรมาสที่ 4 แต่โดยรวมแล้ว GFC ยังคงรักษาการเติบโตไว้ได้ โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 73.33 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 5.35% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
**ภาพรวมปี 2567:**
ปี 2567 เป็นปีที่มีความผันผวนสำหรับ GFC โดยแบ่งออกเป็นช่วงเวลาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:
* **ไตรมาส 4 ปี 2566 - ไตรมาส 1 ปี 2567:** เป็นช่วงที่ธุรกิจรักษาผู้มีบุตรยากมีความต้องการสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากความเชื่อเรื่อง "ปีมังกรทอง" ส่งผลให้ GFC สามารถทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์
* **ไตรมาส 2 - 3 ปี 2567:** ธุรกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ GFC ยังคงรักษาระดับรายได้ไว้ได้อย่างคงที่
* **ไตรมาส 4 ปี 2567:** ธุรกิจอยู่ในสภาวะซบเซาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ส่งผลให้รายได้ลดลง
**การวิเคราะห์รายได้และกำไร:**
* **รายได้รวม:** 371.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.85% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยปัจจัยหลักมาจากการเปิดดำเนินการของบริษัท จีเอฟซี อุบล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567
* **กำไรสุทธิ:** 73.33 ล้านบาท ลดลง 5.35% เมื่อเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการบริการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายพนักงานฝ่ายการตลาดเพื่อรองรับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารจากการเตรียมความพร้อมในการขยายสาขาพระราม 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
* **รายได้จากการให้บริการ:** เพิ่มขึ้น 4.85% เป็น 371.76 ล้านบาท
* **ต้นทุนจากการให้บริการ:** เพิ่มขึ้น 6.19% เป็น 193.43 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากต้นทุนค่ายา น้ำยา เวชภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาอุบลราชธานี
* **อัตรากำไรขั้นต้น:** ลดลงเล็กน้อยจาก 48.63% เป็น 47.97% เนื่องจากต้นทุนการให้บริการที่เพิ่มขึ้น
* **ค่าใช้จ่ายในการบริการ:** เพิ่มขึ้น 12% เป็น 24.45 ล้านบาท เนื่องจากการขยายทีมงานฝ่ายการตลาด
* **ค่าใช้จ่ายในการบริหาร:** เพิ่มขึ้น 24.04% เป็น 61.10 ล้านบาท จากการเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
* **ต้นทุนทางการเงิน:** ลดลง 80.56% เป็น 1.75 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินครบทั้งจำนวนในไตรมาส 4 ปี 2566
* **อัตรากำไรสุทธิ:** ลดลงจาก 21.85% เป็น 19.73%
**สถานะทางการเงิน:**
* **สินทรัพย์รวม:** เพิ่มขึ้น 13.23% เป็น 725.60 ล้านบาท
* **สินทรัพย์หมุนเวียน:** ลดลง 46.23% เป็น 182.29 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการใช้เงินสดในการลงทุนปรับปรุงอาคารสำหรับสาขาพระราม 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
* **สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน:** เพิ่มขึ้น 80% เป็น 543.31 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ โดยมีการลงทุนในส่วนปรับปรุงอาคารสำหรับสาขาพระราม 9 อินเตอร์เนชั่นแนล และสินทรัพย์สิทธิการใช้เพิ่มขึ้นจากการเช่าอาคารของ GFC อุบล
* **หนี้สินรวม:** เพิ่มขึ้น 66.36% เป็น 123.99 ล้านบาท
* **หนี้สินหมุนเวียน:** เพิ่มขึ้น 70.05% เป็น 94.24 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากเจ้าหนี้การค้าจากการก่อสร้างสาขาพระราม 9
* **หนี้สินไม่หมุนเวียน:** เพิ่มขึ้น 55.57% เป็น 29.75 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากหนี้สินตามสัญญาเช่าของ GFC อุบล
* **ส่วนของผู้ถือหุ้น:** เพิ่มขึ้น 6.23% เป็น 601.61 ล้านบาท จากกำไรสะสม
* **อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E):** เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 0.13 เท่า เป็น 0.21 เท่า แสดงให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์จากหนี้สินที่เพิ่มขึ้นเพื่อการลงทุน
**กระแสเงินสด:**
* **กระแสเงินสดสุทธิ:** ลดลงสุทธิ 150.45 ล้านบาท
* **กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน:** เป็นบวก 109.55 ล้านบาท
* **กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน:** เป็นลบ 214.47 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการซื้อที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์
* **กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน:** เป็นลบ 45.53 ล้านบาท จากการจ่ายเงินปันผล
**อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ:**
* **อัตราส่วนสภาพคล่อง:** ลดลงจาก 6.11 เท่า เป็น 1.93 เท่า เนื่องจากการลดลงของเงินสดและลูกหนี้
* **อัตรากำไรขั้นต้น:** ลดลงจาก 48.63% เป็น 47.97%
* **อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA):** ลดลงจาก 33.11% เป็น 30.76%
* **อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT):** ลดลงจาก 28.91% เป็น 25.33%
* **อัตรากำไรสุทธิ:** ลดลงจาก 21.85% เป็น 19.73%
* **อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE):** ลดลงจาก 13.80% เป็น 12.56%
* **อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA):** ลดลง
* **อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร:** ลดลงจาก 26.12% เป็น 17.39%
* **อัตราการจ่ายเงินปันผล:** ลดลงจาก 93.02% เป็น 75.16%
**ปัจจัยความเสี่ยงและโอกาส:**
* **ความเสี่ยง:** การแข่งขันในตลาด, ความผันผวนทางเศรษฐกิจ, การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ, ความเสี่ยงจากการลงทุนในสาขาใหม่
* **โอกาส:** ธุรกิจรักษาภาวะมีบุตรยากในไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโต 6.2% ในปี 2568 จากความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นอกจากนี้ GFC ยังมีแผนขยายธุรกิจด้วยการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและผลักดันให้รายได้เติบโต
**แนวโน้มอนาคต:**
จากบทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ธุรกิจรักษาภาวะมีบุตรยากในไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของฝ่ายบริหารของ GFC ที่มองเห็นโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่ทำให้คู่สมรสชาวไทยนิยมมีบุตรช้าลง รวมถึงปัญหาภาวะมีบุตรยากที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ GFC ยังมีแผนขยายธุรกิจด้วยการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและผลักดันให้รายได้เติบโต
**สรุป:**
แม้ว่ากำไรสุทธิและอัตราส่วนทางการเงินหลายรายการของ GFC ในปี 2567 จะลดลง แต่บริษัทยังคงมีการเติบโตของรายได้ และมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตจากการขยายธุรกิจและการเติบโตของตลาดรักษาภาวะมีบุตรยาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ และติดตามผลประกอบการของบริษัทอย่างใกล้ชิดเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน การลงทุนเพิ่มเติมในสาขาใหม่และทรัพย์สินถาวร แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเติบโตในระยะยาว แต่ก็ต้องติดตามการบริหารจัดการหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างใกล้ชิด
**ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ:**
* **รายได้:** การเติบโตของรายได้เป็นผลมาจากการเปิดสาขาใหม่และการเติบโตของตลาด
* **กำไร:** กำไรสุทธิลดลงเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจ
* **อัตรากำไรขั้นต้น:** ลดลงเนื่องจากต้นทุนการให้บริการที่เพิ่มขึ้น
* **อัตรากำไรสุทธิ:** ลดลงเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริการและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น
* **หนี้สิน:** เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการลงทุนในสาขาใหม่และทรัพย์สินถาวร
* **ส่วนของผู้ถือหุ้น:** เพิ่มขึ้นจากกำไรสะสม
โดยรวมแล้ว ผลประกอบการของ GFC ในปี 2567 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของรายได้ แต่ก็มีความท้าทายในการควบคุมค่าใช้จ่ายและการบริหารจัดการหนี้สิน ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทต้องให้ความสำคัญต่อไปในอนาคต
(4.28%)
(52.63%)
(4.02%)
(54.60%)
(0.28%)
(4.16%)
(197.38%)
(75.56%)
(34.79%)
(74.05%)
(30.72%)
(27.41%)