สรุปงบล่าสุด FPT

บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
**สรุปผลประกอบการ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (FPT) ปี 2567**
บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ในปี 2567 ที่ผ่านมา เผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างไม่เต็มที่ แม้จะมีปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน แต่ก็ยังถูกกดดันจากหนี้ครัวเรือนสูงและสภาวะตลาดแข่งขันที่รุนแรง โดยบริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่เพียง 6 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว และเริ่มขยายสู่ตลาดคอนโดมิเนียมด้วยโครงการโคลส รัชดา 7 ในด้านผลประกอบการ รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ลดลง 16.6% คิดเป็นมูลค่า 9,173.6 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากการให้เช่าและบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น 11.9% อยู่ที่ 3,130.8 ล้านบาท จากความต้องการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าที่เพิ่มขึ้น สำหรับรายได้จากธุรกิจโรงแรมลดลง 24.1% เนื่องจากมีการยุติการดำเนินงานของโรงแรมเมย์แฟร์ แมริออท เอ็กเซกคิวทีฟ อพาร์ตเมนต์ เพื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากไม่นับรวมผลกระทบจากการยุติการดำเนินงานของโรงแรมดังกล่าว รายได้จากธุรกิจโรงแรมจะปรับตัวดีขึ้นราว 14.3% บริษัทฯ ยังรับรู้กำไรพิเศษจากการขายโรงงานและที่ดิน 720.4 ล้านบาท และกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทร่วมค้า 179.3 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้รวมอยู่ที่ 14,566.4 ล้านบาท ลดลง 13.3% และมีกำไรสุทธิ 1,467.0 ล้านบาท ลดลง 21.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 34.0% โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.32 เท่า
บริษัทฯ มีแผนธุรกิจและกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการเงินทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพและสภาพคล่องทางการเงิน รวมถึงการมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยมีเป้าหมายในการรักษาอัตราการเช่าพื้นที่โรงงาน คลังสินค้า และอาคารสำนักงานในระดับสูง และขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษและในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท โดยเฉพาะในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยที่ยังคงได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่เปราะบางและภาวะหนี้ครัวเรือนสูง แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องอาศัยมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐเพิ่มเติม รวมถึงการปรับตัวของผู้ประกอบการในการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
การพิจารณา FPT เป็นโอกาสในการลงทุนนั้น ต้องมองผ่านเลนส์ที่หลากหลายและเข้าใจถึงความซับซ้อนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยภาพรวมของผลประกอบการปีล่าสุดแสดงให้เห็นถึงการลดลงของรายได้และกำไรสุทธิอย่างชัดเจน โดยมีรายได้รวมลดลง 13.3% และกำไรสุทธิลดลงถึง 21.2% ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยและสงครามราคาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบวกจากธุรกิจให้เช่าและบริการที่เกี่ยวข้องซึ่งเติบโตขึ้นได้ แสดงให้เห็นว่า FPT มีความสามารถในการปรับตัวและรักษาความแข็งแกร่งในบางส่วนของธุรกิจได้ สำหรับอัตราส่วนทางการเงิน P/E ล่าสุดอยู่ที่ 19.84 ซึ่งแสดงถึงความคาดหวังของนักลงทุนในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่ P/BV อยู่ที่ 0.96 ซึ่งบ่งบอกถึงการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และ YIELD ที่ 2.89% ถือว่าไม่น่าสนใจมากนักสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้จากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ในส่วนของ D/E ที่ 1.32 นั้น อาจจะต้องพิจารณาให้ดีเนื่องจากสูงกว่า 1 สะท้อนถึงภาระหนี้สินที่สูงพอสมควร แม้ว่าบริษัทจะมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 1,239.3 ล้านบาท แต่หนี้สินรวมก็สูงถึง 60,147.5 ล้านบาท ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น นอกจากนี้ การที่เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุนติดลบ (-785.518 ล้านบาท) แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีการลงทุนต่อยอดธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องการบริหารกระแสเงินสดด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม วงจรเงินสดที่ติดลบ (ยังไม่มีข้อมูล) อาจเป็นข้อดีที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
* **โอกาส:** การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
* **ความเสี่ยง:** ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ภาวะหนี้ครัวเรือนสูง และการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง
โดยสรุปแล้ว FPT ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากในระยะสั้น แต่ก็ยังมีโอกาสในการเติบโตในระยะยาวจากธุรกิจให้เช่าและบริการ และการขยายการลงทุนในต่างประเทศ หากนักลงทุนมองข้ามความผันผวนในระยะสั้น และเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท FPT อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการโอกาสในการเติบโตมากกว่าเงินปันผล อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและความผันผวนของตลาด รวมถึงการติดตามผลประกอบการของบริษัทอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจลงทุน
(88.57%)
(19.09%)
(76.76%)
(14.36%)
(6.26%)
(5.84%)
(105.89%)
(3.95%)
(27.03%)
(55.04%)
(420.59%)
(58.46%)