TVO โชว์ผลงานปี 67 สุดปัง! กำไรโตแรง 188% พร้อมอัพเดทเทรนด์น้ำมันถั่วเหลืองปี 68

P/E 9.81 YIELD 7.46 ราคา 23.20 (-1.28%)

## TVO โชว์ผลงานปี 67 สุดปัง! กำไรโตแรง 188% พร้อมอัพเดทเทรนด์น้ำมันถั่วเหลืองปี 68

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตกล่าวต้อนรับนักลงทุนทุกท่านเข้าสู่งาน Oppday ของบริษัทน้ำมันพืชไทย หรือ TVO ในวันนี้ เราจะมานำเสนอผลงานในปีที่ผ่านมา และเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่มีผลกระทบต่อผลกำไรขาดทุนของบริษัทครับ

โดยวันนี้เราจะแบ่งการนำเสนอเป็น 6 หัวข้อหลักด้วยกัน เริ่มจากภาพรวมของ TVO (TVO Overview) และสรุปผลประกอบการปี 2567 (Recap ปี 2024) จากนั้นคุณอังกูรและคุณต้นจะมานำเสนอภาพรวมอุตสาหกรรม (Industry Overview) และแนวโน้ม (Outlook) ตามด้วยคุณประกายดาวที่จะนำเสนอผลการดำเนินงานทางการเงิน (Financial Performance) และสุดท้ายผมจะกลับมานำเสนอเรื่อง ESG และช่วงถาม-ตอบ (Q&A)

บริษัทน้ำมันพืชไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2528 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2533 เราเป็นโรงงานสกัดน้ำมันถั่วเหลืองอันดับต้นๆ ของประเทศและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตอยู่ที่ 6,000 ตัน สินค้าหลักของเราแบ่งเป็น 2 หมวด คือ น้ำมันบริโภคภายใต้แบรนด์ "องุ่น" และผลิตภัณฑ์พลอยได้ (By-product) อย่างกากถั่วเหลืองภายใต้แบรนด์ TVO

เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าถือหุ้น 43% ในบริษัทผลิตกิจในปี 2536 และมีการเพิ่มกำลังการผลิตมาอย่างต่อเนื่องจนถึง 6,000 ตันในปี 2553 นอกจากนี้ ในช่วงปี 2565-2566 บริษัทได้มีการปรับตัวโดยลดการใช้พลาสติกลงถึง 350,000 กิโลกรัมต่อปี และใช้กระดาษรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์ รวมถึงมีการปรับปรุงโรงงานเก่าและเพิ่มกำลังผลิตด้วยเครื่องจักรใหม่

รายได้หลักของบริษัทในปี 2567 อยู่ที่ 30,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นน้ำมันถั่วเหลือง 23%, กากถั่วเหลือง 59% และตลาดส่งออก 19% หากแบ่งตามผลิตภัณฑ์ กากถั่วเหลืองคิดเป็น 62% และน้ำมันบริโภค 35% โดยเน้นตลาดในประเทศถึง 84% และพึ่งพาตลาดส่งออก 16%

กิจกรรมหลักของบริษัทแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ การจัดหาวัตถุดิบป้อนโรงงาน, การผลิตกากถั่วเหลืองป้อนอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และการผลิตน้ำมันบริโภค ในส่วนของการจัดหาวัตถุดิบ ถั่วเหลืองที่มีการส่งออกจากประเทศต้นทางมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด โดยคาดการณ์ว่าในปี 2567/2568 จะมีการส่งออกถั่วเหลืองในตลาดโลกถึง 182 ล้านตัน โดยเป็นบราซิล 106 ล้านตัน และสหรัฐฯ 50 ล้านตัน บริษัทให้ความสำคัญกับการซื้อถั่วเหลืองในประเทศก่อน แต่เนื่องจากปริมาณมีค่อนข้างน้อย จึงต้องนำเข้ามากกว่า 95% จากสหรัฐฯ และบราซิล ซึ่งเป็นอันดับ 1 และ 2 ของผู้ส่งออกในโลก

ในส่วนของกากถั่วเหลือง ตลาดในประเทศมีความต้องการใช้อยู่ประมาณ 5 ล้านตัน โดย 60% นำเข้าจากต่างประเทศ และ 40% ผลิตในประเทศ ซึ่ง TVO มีสัดส่วนประมาณ 1 ล้านตันในส่วนที่ผลิตในประเทศนี้ ช่องทางการขายกากถั่วเหลืองส่วนใหญ่ (70-80%) จะขายให้กับโรงงานอาหารสัตว์ขนาดใหญ่และกลาง และ 20-30% กระจายไปยังฟาร์มขนาดกลางและย่อย

สำหรับน้ำมันถั่วเหลืองทั้งอุตสาหกรรมในประเทศไทยมีสัดส่วนเพียง 18% ของน้ำมันบริโภคในประเทศ ที่เหลือน้ำมันปาล์มมีสัดส่วนถึง 78% ใน 18% นี้ TVO ภายใต้แบรนด์ "องุ่น" มีส่วนแบ่งตลาดถึง 59% เป็นอันดับ 1 ส่วนอันดับถัดไปอยู่ที่ 22% น้ำมันบริโภคที่ผลิตได้แบ่งเป็นภายในประเทศ 65% และตลาดต่างประเทศ 35% โดยในประเทศจะส่งให้กับ Food Industry (อุตสาหกรรมอาหาร) และ Non-Food (ไม่ใช่อาหาร) ในส่วนของ Food จะนำไปบรรจุภัณฑ์ในอุตสาหกรรมแปรรูปทูน่ากระป๋อง และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมน้ำมันสลัด น้ำพริก และส่วนผสมในเครื่องปรุงต่างๆ ส่วน Non-Food จะส่งให้กับโรงงานอาหารสัตว์ในรูปของ Food Oil และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมสีผสม ในตลาดส่งออก บริษัทส่งออกไปกว่า 10 ประเทศทั่วโลก โดยส่วนใหญ่จะเน้นที่ Southeast Asia รวมถึงฮ่องกงและเกาหลี

นอกจากน้ำมันขวดภายใต้แบรนด์ "องุ่น" แล้ว บริษัทยังมีน้ำมันทางเลือกอื่นๆ เช่น น้ำมันพรีเมียม น้ำมันข้าวโพด น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันคาโนลา เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค นอกจากนี้ บริษัทยังเป็น Sole Agent ให้กับน้ำมันมะกอกแบรนด์ "Monini" ซึ่งมียอดขายอันดับ 1 ในประเทศอิตาลี และสำหรับตลาดต่างประเทศ น้ำมันถั่วเหลืองของบริษัทจะส่งออกภายใต้แบรนด์ "Healthishield"

ในปี 2567 บริษัทมียอดขาย 30,500 ล้านบาท, Gross Margin 3,200 ล้านบาท (10.7%) และ Net Profit 2,103 ล้านบาท (6.9%) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา

ในด้าน Supply ผลผลิตถั่วเหลืองในโลกมีทิศทางเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด โดยคาดว่าผลผลิตถั่วเหลืองของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 119 ล้านตัน และบราซิลกับอาร์เจนตินารวมกันจะอยู่ที่ 218 ล้านตัน ในขณะที่ US Stock อยู่ในระดับต่ำที่ 10 ล้านตัน และ World Soybean Ending Stock คาดว่าจะอยู่ที่ 124 ล้านตัน (Stock-to-usage ratio 31%) จาก Supply ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาถั่วเหลืองมีทิศทางขาลงมาตลอดในปี 2567

ในด้าน Demand ความต้องการของจีนซึ่งเป็นผู้ใช้รายใหญ่ของโลกมีการเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ถึง 127 ล้านตันในปีนี้ และบราซิลมีการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 106 ล้านตัน (เติบโต 1.3% YoY) ส่วนสหรัฐฯ ก็มีการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 50 ล้านตัน (เติบโต 7.7% YoY) สำหรับประเทศไทย ยอดส่งออกเนื้อไก่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,226,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 6.6% YoY) และไก่ยืนกรงอยู่ที่ 326 ล้านตัว (สูงกว่าปีก่อนหน้า 2%) ส่วน Hog Margin (กำไรต่อการเลี้ยงสุกร) ก็กลับมามีกำไรต่อเนื่อง และหมูในตลาดปัจจุบันมีอยู่ถึง 12.3 ล้านตัว (เติบโตเกือบ 10%)

สำหรับส่วนต่างราคา (Spread) ระหว่างน้ำมันถั่วเหลืองกับน้ำมันปาล์ม พบว่าน้ำมันปาล์มกลับมาแพงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองอยู่ที่ 1.65 บาทต่อลิตร ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวของเกษตรกรในบราซิล ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 50 - 60% ของประเทศและในรัฐที่เพาะปลูกถั่วเหลืองรัฐใหญ่ที่สุด เก็บเกี่ยวไปแล้วเกือบ 80-90% ส่วนประเทศอาร์เจนติน่าที่มีผลผลิตเป็นอันดับ 3 ของโลกก็มีช่วงเวลาการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวที่ตรงกับบราซิล แต่อาเจนติน่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ crop rating ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ผลผลิตน้อยกว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา

[เริ่ม Q&A Session นาทีที่ 56:26] **คำถาม 1: ผลกระทบของ Trade War จะทำให้จีนหันไปซื้อถั่วเหลืองจากบราซิลแทน จะทำให้ถั่วเหลืองทางฝั่งอเมริกาถูกลงหรือไม่ และดีต่อ TVO หรือเปล่า?** *ผู้บริหารตอบ:* จาก Pattern ใน Trade War เวอร์ชั่นก่อนในช่วงปี 2017-2018 ทำให้ตลาด Future ปรับตัวลงมา ถั่วเหลืองของอเมริกาถูกลงเมื่อเทียบกับบราซิล ช่วงนั้นบริษัทมีการนำเข้าถั่วเหลืองที่มีต้นทุนในการแข่งขันสูงเข้ามา ซึ่งแน่นอนว่าหาก Trade War ปีนี้รุนแรง บริษัทก็อาจจะมีโอกาสนั้นอีกครั้ง แต่คงต้องติดตามดูกันอีกครั้ง **คำถาม 2: มอง Gross Profit Margin ในช่วง Q1/2568 ดีกว่าปีที่แล้วที่ 6.8% เทียบกัน year on year หรือเปล่า?** *ผู้บริหารตอบ:* มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงบวกใน Q1 ปีนี้ คือ โครงสร้างราคาน้ำมันถั่วเหลืองในช่วง Q1 ปี 2568 เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว (ปีที่แล้วราคาน้ำมันถั่วเหลืองแพงกว่าน้ำมันปาล์ม) แต่ปีนี้กลับกันคือ น้ำมันถั่วเหลืองถูกกว่าน้ำมันปาล์ม ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันถั่วเหลืองมากขึ้น และอาจจะมีผลในเชิงบวกกับผลประกอบการของบริษัท อย่างไรก็ตาม คงต้อง Balance ดูผลจากราคากากและราคาต้นทุนนำเข้าเมล็ดด้วย แต่ในเชิงมิติน้ำมันบริโภคถือว่าเป็นบวก

**คำถาม 3: ถ้าเทียบกันทั้งปี ผู้บริหารมองกำไรปี 2568 เทียบกับปี 2567 เป็นอย่างไรบ้าง?** *ผู้บริหารตอบ:* ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม เฝ้าระวัง ทั้ง Trade War, ภาวะการแข่งขัน, การที่จีนจะเข้าตลาด คงต้องติดตามสถานการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิดอีกครั้ง และจะสามารถทบทวนได้อีกครั้งเนื่องจากเป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ และบริษัทยืนยันว่าจะเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดและปรับแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป **คำถาม 4: กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นใหม่ เพิ่มขึ้นกี่ตัน และจะเริ่มผลิตในไตรมาสไหน และตอนที่เริ่มผลิตคิดว่าจะ Utilization ได้สักกี่เปอร์เซ็นต์?** *ผู้บริหารตอบ:*

  • คาดว่าจะเริ่มดำเนินการ ปลายไตรมาส 3
  • กำลังผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา คิดว่าเป็นสัดส่วน 20% ของ Capacity เดิม
  • อาจใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุง หรือเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรโรงงานเก่า ในช่วงปีนี้อาจจะต้อง monitor ถึงความจำเป็นต่างๆ และอาจจะยังใช้ Utility ของเครื่องจักรใหม่ยังไม่เต็ม 100% แต่สุดท้ายแล้ว เพิ่มขึ้นแน่นอน แต่ตัวเลขอาจจะบวกลบอยู่ระหว่าง 10% ขึ้นไป
**คำถาม 5: ตัวกำลังผลิตใหม่ จะส่งผลให้ค่าเสื่อมสูงขึ้น และจะกดดันกำไรไหม?** *ผู้บริหารตอบ:* แน่นอนว่าค่าเสื่อมจะเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงของเครื่องจักรเก่าก็จะลดลงไป สิ่งที่จะได้มาคือ การประหยัดการใช้พลังงาน, Efficiency และ Level Cost ต่างๆ ที่โรงงานใหม่จะมีการใช้ Automation ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยภาพรวมแล้วคิดว่าหักกลบแล้ว น่าจะมีผลบวกมากกว่าปัจจุบัน **คำถาม 6: น้ำมันส่งออกกับน้ำมันในประเทศ ตัวไหนมี GP ที่สูงกว่ากัน?** *ผู้บริหารตอบ:* บริษัทพยายามบริหาร Portfolio ของน้ำมัน ออกมาเป็น 3 ช่องทางหลักๆ คือ น้ำมันบริโภคน้ำมันขวด, น้ำมันอุตสาหกรรมในประเทศ และตลาดส่งออก ซึ่งสัดส่วนการจัดสรรจะอยู่ที่ 1 ใน 3 ในแต่ละส่วน แต่ก็มีการปรับ Port บ้าง ในกรณีที่ Segment ไหนมีกำไรสูง อาจจะให้น้ำหนักไปบ้าง โดยภาพรวมแล้ว ใกล้เคียงกัน หาก Segment ไหนในช่วงนั้น ภาวะช่วงนั้นเป็นบวก เป็นตัวที่ทำ Margin สูงสุด ก็อาจจะมี Channel ที่เหมาะสมกว่า

**คำถาม 7: Market Share ของ TVO ที่เกินครึ่ง กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 10% ของตลาด จะยิ่งทำให้ TVO ทิ้งห่างคู่แข่ง แข็งแรงขึ้น แต่คู่แข่งก็ไม่ได้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมา ใช่ไหม?** *ผู้บริหารตอบ:* การเพิ่มกำลังผลิต เกิดขึ้นทั้ง TVO เอง และคู่แข่ง เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดน้ำมันมีช่องทาง มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายมากขึ้น มี Demand ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น จากการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานทางเลือกต่างๆ เพิ่มขึ้น ทั้งบริษัทและคู่แข่งมีการเพิ่มกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น **คำถาม 8: ตัว Sales Contribution ระหว่างกากถั่วเหลืองกับน้ำมันถั่วเหลือง สัดส่วนเป็นเท่าไหร่ แล้วแนวโน้มในปีนี้ คิดว่าสัดส่วนจะเป็นอย่างไร?** *ผู้บริหารตอบ:*

  • ปีที่ผ่านมา กากถั่วเหลืองสัดส่วน 67% น้ำมันเป็นส่วนที่เหลือ
  • คาดว่าปีนี้ กากถั่วเหลืองปรับลดลงมาที่ 62 - 63% น้ำมันมีโอกาสเพิ่มขึ้น เพราะโครงสร้างราคาน้ำมันถั่วเหลืองมีความได้เปรียบน้ำมันตัวอื่น
**คำถาม 9: จากสถานการณ์น้ำมันถั่วเหลือง ที่มีราคาใกล้เคียงกับน้ำมันปาล์มในปัจจุบัน ส่งผลทำให้ยอดขายน้ำมันถั่วเหลือง มีการเติบโตอย่างมาก ในปี 2567 TVO มองว่าจะยังมีการเติบโตต่อเนื่องได้หรือไม่ ในปีนี้ทั้ง 3 ช่องทาง ตลาดอุตสาหกรรม กลุ่มน้ำมันผู้บริโภค และกลุ่มส่งออก?** *ผู้บริหารตอบ:* โครงสร้างราคาน้ำมันปาล์ม อ้างอิงจากตลาดโลกด้วย ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มในช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวสูงขึ้น ส่งเสริมทำให้มี Demand ทั้งภายในประเทศ ทั้งตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กันไปหมด เป็นการยกฐานราคาขึ้นมา เป็นผลบวก และมีผลบวกทั้งเชิงปริมาณ, เชิงยอดขาย และเชิงกำไร **คำถาม 10: ราคาการถั่วเหลือง ในปี 2567 อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ Gross Profit Margin ของ TVO ปรับสูงขึ้น เป็น Double Digit เมื่อเทียบกับปีก่อน TVO คิดว่าจะสามารถรักษาระดับกำไร Double Digit ได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้หรือไม่?** *ผู้บริหารตอบ:* ราคากากถั่วเหลืองที่ปรับลงมา เป็นไปตามกลไกตลาดโลก และบริษัทในฐานะผู้ผลิต ก็ต้องปรับตัวลงมาด้วย นอกจากการที่กากถั่วเหลืองปรับตัวลงมาแล้ว ต้นทุนในรูปของถั่วเหลืองเมล็ดก็ปรับลงมาล้อไปกับสัดส่วน บริษัทจะสามารถคงไว้ ซึ่ง Double Digit อันนี้เป็นสิ่งที่ทีมงานก็ต้องบอกว่าต้อง Inside เข้าไป ติดตามภาวะ แล้วพยายามหาจังหวะในการซื้อ จังหวะในการซื้อต้นทุนถั่วเหลืองเมล็ด เพื่อให้ได้ต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ในเชิงของผลิตภัณฑ์ **คำชมเชย:** ชอบขวดน้ำมันองุ่นมาก เทแล้วไหลน้อยดี **คำถาม 11: TVO มีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เป็น Value Added บ้างหรือไม่ ในอนาคต?** *ผู้บริหารตอบ:* บริษัทมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่อยู่ในระหว่างศึกษา และทำงานคู่กับภาครัฐและสถาบันต่างๆ ซึ่งอยู่ใน Pipeline ที่ต้องมีออกมา และเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทมีการ Upgrade ตัว Lecithin ที่เดิมใช้ป้อนอาหารสัตว์ ยกกระดับขึ้นมาเป็น Food Grade ซึ่งมีการ Launch สินค้าตัวนี้ออกมาในเชิง Commercial แล้ว และคงจะมีทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง **คำถาม 12: ในช่วงระยะหลัง สัดส่วนการขายกากถั่วเหลือง ที่ขายให้กับตัวโรงงานผลิตอาหารสัตว์ มีสัดส่วนมากขึ้น ทำให้ TVO มีการขายกากล่วงหน้าที่มากขึ้น TVO มีกลยุทธ์อย่างไร ในการบริหาร Gross Profit Margin หากราคาถั่วเหลืองกลับมาเป็นขาขึ้น?** *ผู้บริหารตอบ:* ถ้าทิศทางตลาดกลับมาเป็นขาขึ้น สิ่งที่บริษัททำได้โดยทันที คือ การ Lock ต้นทุนเมล็ดถั่วเหลือง หรือการใช้เครื่องไม้เครื่องมือ ทางตลาดทุนตลาดการเงินเข้ามา เพื่อ Lock ตัว Margin รวมทั้งการ Fix ตัว Exchange Rate หรือการดูจังหวะการเข้าตลาด ซึ่งเป็นตัวช่วยในการที่จะ Lock ตัว Margin กับสินค้าที่ขายออกไป

โดยสรุปแล้ว TVO ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในปี 2567 ด้วยผลกำไรที่เติบโตอย่างโดดเด่น แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกต่างๆ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต



โพสต์ล่าสุด