บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

สรุป Oppday LH ปี 2024: กลยุทธ์ลดหนี้, ขยายธุรกิจโรงแรม, และพัฒนาอย่างยั่งยืน
P/E 9.49 YIELD 7.34 ราคา 4.36 (0.46%)
สรุป Oppday Land and Houses ปี 2024: กลยุทธ์ลดหนี้, ขยายธุรกิจโรงแรม, และพัฒนาอย่างยั่งยืน
สวัสดีค่ะนักลงทุนทุกท่าน ขอต้อนรับสู่งาน Opportunity Day ประจำปี 2024 ของบริษัท Land and Houses วาระการนำเสนอในวันนี้จะแบ่งเป็น 5 วาระด้วยกัน เริ่มต้นจาก Company Overview เพื่อปูพื้นให้นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย ได้รู้จัก Land and Houses อย่างครบถ้วน ทราบถึงลักษณะธุรกิจ ข้อมูล และภาพรวมสินค้าในแต่ละธุรกิจ จากนั้นจะไปสรุปผลการดำเนินงานของปี 2567 และรายงานแผนงานธุรกิจโดยย่อของปี 2568 นอกจากนี้ยังมีการสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับการทำงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และท้ายสุดจะเป็นการตอบคำถามโดยคุณอัศวินค่ะ
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)
โมเดลธุรกิจของ Land and Houses เริ่มต้นจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยเพื่อขาย แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่เล็งเห็นถึงภาวะตลาดอสังหาที่มีทั้งขาขึ้น ทรงตัว และชะลอตัว จึงเกิดเป็นเครื่องยนต์ตัวที่สองคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า Land and Houses จึงมีเครื่องยนต์ทางธุรกิจอยู่ 3 ตัว ที่ช่วยกันขับเคลื่อนและสร้างรายได้รวมถึงผลกำไรให้กับบริษัท
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า มีในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ในไทยมีโรงแรม ศูนย์การค้า และพื้นที่สำนักงานให้เช่า ส่วนในอเมริกาจะเป็นอพาร์ตเมนต์และโรงแรม เครื่องยนต์ตัวสุดท้ายคือ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ไปลงทุนไว้ เช่น Q House, Q-Con, Home Pro, LHFG และ LH Hotel ประมาณ 1 ใน 3 ของกำไรสุทธิมาจากเครื่องยนต์ตัวนี้
โมเดลธุรกิจของ Land and Houses สร้างมานานกว่า 10 ปี โดยเริ่มจากการพัฒนาอสังหาโครงการแรกในปี 2516 และเริ่มเป็น Land and Houses ในปี 2526 ในขณะที่ทำโครงการจัดสรรขายบ้านพร้อมที่ดินและที่ดินเปล่า สำหรับลูกค้าที่ต้องการสร้างเอง ในปีเดียวกันนั้นเองได้มีการตอบสนองความต้องการของลูกค้าโดยการก่อตั้ง Q House ซึ่งเป็นธุรกิจรับสร้างบ้านให้ลูกค้าบนที่ดินของตนเอง หลังจากนั้นก็มีการก่อตั้ง Q-Con, Home Pro และ Land and House Bank ส่วน Centre Point และ Terminal 21 เกิดขึ้นในปี 2554 และในปลายปี 2555 ได้เริ่มลงทุนในอเมริกาโดยตั้งเป็น LH USA และซื้ออพาร์ตเมนต์ตึกแรกในปีนั้น อีก 2 ปีต่อมาได้จัดตั้งกอง REIT LHFG และขาย Terminal 21 เข้ากอง REIT นี้ ในปี 2558 ได้จัดตั้งกอง REIT LH Hotel และนำ Grand Centre Point 21 เข้ากองนี้ และมีการก่อตั้งบริษัท LHMH ซึ่งดำเนินงานมาก่อนปี 2558 แต่ยังไม่ได้ใช้ชื่อนี้
ล่าสุดได้เข้าซื้อโรงแรมแห่งแรกในอเมริกาในปี 2564
- สินค้าของ Land and Houses มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโด สินค้าส่วนใหญ่จะเป็น Segment กลางบนและ Segment บน
- บ้านเดี่ยวมีแบรนด์ครอบคลุม Segment ได้ดี และเป็นสินค้าหลักของบริษัท กินสัดส่วนเกือบ 80% ในปีที่แล้ว แบรนด์ที่เป็นราคาแพงคือ ลดาวัลย์ นันทวัน และวิเว่
- ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมยังมีโครงการที่น้อย หากภาวะตลาดกลับมาแข็งแรงก็จะเพิ่มสัดส่วนใน 2 ตลาดนี้
ปัจจุบันมีแบรนด์ทาวน์เฮาส์คือ อินดี้ คอนโดมิเนียมมีแบรนด์ The Bangkok (Segment บน), The Room และ One เวลา ส่วน The Key จะเป็น Segment ล่าง และ North Condo เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่เชียงใหม่ โครงการของ Land and Houses นอกจากอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว ยังมีใน 8 จังหวัด ภาคเหนือมีที่เชียงใหม่และเชียงราย ภาคอีสานมีที่ขอนแก่น โคราช อุดรธานี และมหาสารคาม ก่อนหน้านี้เคยมีโครงการคอนโดมิเนียมที่หัวหิน แต่ได้ปิดโครงการไปแล้ว ตอนนี้ภาคใต้จึงเหลือที่ภูเก็ตที่เดียว จะเป็นบ้านเดี่ยว สัดส่วนของต่างจังหวัดมีประมาณ 12-14% ของยอดขายและยอดโอนทั้งหมด
ในเมืองไทย Land and Houses จะพัฒนาเอง ก่อสร้างเอง โดยที่ดินจะเป็นสิทธิการเช่า แต่ที่อเมริกาจะซื้อตึก อาจเป็นตึกใหม่หรือตึกที่ต้องมา Renovate เอง และที่ดินจะเป็น Freehold โรงแรมในเมืองไทยปัจจุบันใช้แบรนด์ Grand Centre Point มีทั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างก่อสร้างทั้งหมด 10 โครงการ จำนวนห้องทั้งหมดที่บริหารอยู่ประมาณ 4,500 ห้อง มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 28,430 ล้านบาท ส่วนศูนย์การค้าใช้แบรนด์ Terminal 21 พัฒนาไปแล้ว 3 แห่ง ที่อโศก พัทยา และพระราม 3 พื้นที่ศูนย์การค้าทั้งหมดมีประมาณ 118,000 ตารางเมตร ที่อเมริกามีการลงทุนในอพาร์ตเมนต์ทั้งหมด 6 แห่ง และโรงแรม 2 แห่ง
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)
กลยุทธ์ของ Land and Houses ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าคือ เมื่อพัฒนาแล้วก็จะบริหารเพื่อให้เกิดอัตราค่าห้อง อัตราการเข้าพักที่สูง จากนั้นประมาณ 3 ปี จะขายเข้ากอง REIT เพื่อทำกำไร แล้วนำเงินมา Reinvest ในโรงแรมแห่งใหม่ โรงแรมทั้งหมด 10 แห่ง เปิดดำเนินการแล้ว 8 แห่ง อีก 2 แห่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง ที่เสร็จแล้วได้ขายเข้ากอง REIT ไปแล้ว 5 แห่ง และอีก 1 แห่งคือ Grand Centre Point เพลินจิต ยังอยู่ภายใต้ LH Property Fund ที่เหลือจะเป็น 2 แห่งที่ยังเป็นเจ้าของเองคือ Grand Centre Point สุรวงศ์ ซึ่งเปิดดำเนินการไปเมื่อปลายปี 2566 และที่กำลังจะเปิดในวันนี้คือ Grand Centre Point ลุมพินี ซึ่งอยู่ตรงข้าม One Bangkok และเป็นโครงการ Mixed-Use วันนี้เปิดสำหรับพื้นที่สำนักงานให้เช่า
ที่ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างและจะเปิดในปีหน้าและปีถัดไปคือ Grand Centre Point ราชดำริ และ Grand Centre Point พัทยาอย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดกอง REIT จะต้องมี SPV เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน กอง REIT ก็มักจะให้ Land and Houses เช่ากลับมาบริหาร ดังนั้นถึงแม้จะขายโรงแรมออกไป แต่เมื่อเช่ากลับมาบริหารต่อ รายได้ของโรงแรมก็ยังถูกรวมเข้ามาในงบการเงิน ผิดกันแต่ว่าโรงแรมที่ยังเป็นเจ้าของจะมี GP สูงกว่าโรงแรมที่ไปเช่ากลับมา เนื่องจากจะต้องมีต้นทุนค่าเช่าที่ต้องจ่ายให้กอง
ศูนย์การค้าที่สร้างและเปิดดำเนินการ 3 แห่ง ขายเข้ากอง REIT ไปแล้ว 2 แห่ง คือ Terminal 21 ที่อโศกและที่พัทยา เหลือ 1 แห่งที่ยังเป็นเจ้าของอยู่คือ ตัวพระราม 3 ตัวศูนย์การค้าไม่ต้องมี SPV เมื่อขายแล้วรายได้ก็จะหายไปจากงบการเงิน ส่วนที่อเมริกาจะขายให้ Third Party เมื่อขายแล้วรายได้ค่าเช่าก็หายไปจากงบการเงิน อพาร์ตเมนต์ 6 แห่ง ขายไปแล้ว 3 แห่ง เหลืออีก 3 แห่ง และมีโรงแรมอยู่ในพอร์ต 2 แห่ง
Land and Houses วางแผนขายสินทรัพย์ให้เช่าทุกปี เพื่อให้มีกำไรจากการขาย และมีกำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าอย่างสม่ำเสมอ รายได้ค่าเช่าและค่าบริการเติบโตขึ้นจากเมื่อก่อน ในอดีตจะอยู่ที่ประมาณ 10% ของรายได้จากการขายบ้าน แต่ปัจจุบันพอร์ตรายได้ค่าเช่าสูงขึ้น ประกอบกับรายได้จากการขายบ้านลดลง ทำให้สัดส่วนส่วนนี้สูงขึ้น ปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 40-50% ของรายได้จากการขายบ้าน
รวมไปถึงส่วนแบ่งกำไร ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตัวที่ 3 เมื่อก่อนสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของกำไรสุทธิ แต่ในปีที่ผ่านมาเนื่องจากกำไรสุทธิลดลง ทำให้สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 60%
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)
ปี 2567 เป็นปีที่ไม่ง่ายสำหรับตลาดอสังหา ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่มีผลอย่างมากต่อความต้องการซื้อบ้าน หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทำให้ธนาคารเข้มงวดต่อการปล่อยสินเชื่อ ภาวะตลาดหุ้นเองก็มีผลกระทบต่อความมั่งคั่งของลูกค้า ตัวเลขยอดขายได้ 18,755 ล้านบาท ลดลง 19% Year on Year เป็นการลดลงในทุกประเภทสินค้า โดยที่สินค้าคอนโดมิเนียมลดลงมากที่สุดถึง 45% เนื่องจากในปี 2566 มีโครงการเปิดใหม่คือโครงการ One เวลา ณ เจ้าพระยา ซึ่งมียอดขายในปี 2566 ประมาณ 5,200 ล้านบาท ส่วนปีที่แล้วมียอดขายประมาณ 2,500 ล้านบาท ทำให้ยอดขายจากคอนโดมิเนียมลดลง รวมแล้ว One เวลา ณ เจ้าพระยา ขายไปได้ประมาณ 7,700 ล้านบาท (52%) สัดส่วนแนวบ้านแนวราบต่อคอนโดอยู่ที่ 80:20
- ยอดโอนของปี 2567 จะอยู่ที่ 16,100 ล้าน ลดลง 15% YoY อันนี้ก็เป็นการลดลงตามยอดขาย จึงลดลงในทุกประเภทสินค้าเช่นเดียวกัน
- ยอดสินค้า รอโอน ณ สิ้นปีมีอยู่จำนวน 9,255 ล้านบาท สามารถรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 1,500 ล้านบาท Backlog ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการ One เวลา ซึ่งสามารถรับรู้เป็นรายได้ได้ในสิ้นปีหน้าแต่ไม่มาก พอร์ตใหญ่จะอยู่ในปี 2570
ปี 2567 เปิดโครงการใหม่ได้ตามแผนที่วางไว้ และสามารถเปิดเพิ่มได้จากอีก 1 โครงการ ทำให้ในปี 2567 เปิดไปทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 30,850 ล้านบาท โดยเป็นบ้านแนวราบทั้งหมด และเป็นสินค้าที่ระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาทประมาณ 72% เป็นโครงการที่เปิดในกรุงเทพฯ 94% ต่างจังหวัด 1 โครงการ (6%) คือ มัณฑนา 2 ซีรีเลค เชียงใหม่ ณ สิ้นปีมีโครงการเหลืออยู่ในมือที่ยกมาดำเนินการต่อในปีนี้อยู่ 71 โครงการ มูลค่าประมาณ 82,000 ล้านบาท
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)
ในปี 2568 ตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 23,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 23% และเป้าหมายยอดโอนที่ 20,000 ล้านบาท ก็เติบโตประมาณ 23% เช่นเดียวกัน ความแตกต่างระหว่างยอดขาย 23,000 ล้านบาท กับยอดโอน 20,000 ล้านบาท มาจากเป้ายอดขายของ One เวลา ที่ตั้งไว้ประมาณ 2,200-2,300 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นยอดแนวราบที่อาจจะโอนไม่ทันภายในปี ยอดขาย 23,000 ล้านบาทนี้ มาจาก 3 ส่วน คือ โครงการที่เปิดไปในปี 2567 โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่เปิดไปทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่า 12,200 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 40% ของโครงการที่เปิดในปีที่แล้ว มีระยะเวลาในการขายน้อย แต่ในปี 2568 โครงการพวกนี้มีระยะเวลาในการขายเต็มปี เฉพาะในส่วนโครงการที่ยกมาจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ก็เพิ่มขึ้นประมาณ 2,500 ล้านบาท ส่วนในโครงการใหม่ปี 2568 ปีนี้เปิดได้เร็ว ภายในครึ่งปีแรกเปิดประมาณ 80% เหลืออีก 1 โครงการเปิดในไตรมาส 4 ตัวนี้ตั้งยอดขายมาประมาณ 2,200 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น Take Up ประมาณ 20% ส่วนโครงการที่เหลือที่ยกมาจากปี 2566 อันนี้ไม่ได้ตั้งเป้าเติบโต อาจจะมียอดลดลงเนื่องมาจากโครงการที่ปิดไป
เป้าหมายรายได้ค่าเช่าและค่าบริการ ในปีนี้ตั้งอยู่ที่ 9,200 ล้านบาท คาดว่าจะเติบโตประมาณ 2-3% สัดส่วนในเมืองไทยและอเมริกาอยู่ที่ 85% ต่อ 15% มันไม่ได้เติบโตมากเนื่องจากว่าในปีนี้ รายได้ค่าเช่าจาก Terminal 21 พัทยา ที่ขายไปในปีที่แล้วหายไปประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่ยอดโดยรวมไม่ได้ดรอปลงมาก เนื่องจากจะมี Management Fee จากการที่บริหารโครงการนี้ต่อ เป็นรายได้เข้ามาประมาณ 190 ล้านบาท และในปีนี้เองมีการเปิดโรงแรมใหม่คือ Grand Centre Point ลุมพินี ก็จะมีรายได้จาก Grand Centre Point ลุมพินีเข้ามา ชดเชย ตั้งเป้าหมายรายได้ของ Grand Centre Point ลุมพินีไว้ที่ประมาณ 850 ล้านบาท เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่า Terminal 21 จะหายไปประมาณ 1,100 ล้านบาท แต่ก็มีส่วนอื่นมาชดเชย
Occupancy Rate หรืออัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ตั้งไว้พอๆ กับปีที่แล้ว คือประมาณ 85-86% โดยที่ Rental Rate ของโรงแรมเติบโตประมาณ 3.2% และอัตราค่าเช่าของ Terminal พระราม 3 ก็ปรับขึ้นเล็กน้อย โดยรวมแล้ว Rental Income เพิ่มขึ้นประมาณเกือบ 300 ล้าน คิดเป็นเพิ่มขึ้นประมาณ 34% ส่วนที่อเมริการายได้จากอพาร์ตเมนต์จะลดลงประมาณ 130 ล้านบาท เนื่องจากวางแผนไว้ว่าจะขายตึกอพาร์ตเมนต์ที่อเมริกาออกไป
โปรเจคใหม่ที่จะเปิดในปีนี้เปิดน้อยลงเนื่องจากว่าโครงการที่ยกมาดำเนินการต่อในปีนี้ยังมีอยู่ถึง 82,000 ล้านบาท จึงเปิดในปีนี้แค่ 4 โปรเจค 11,180 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วคือลดลง 64% เป็นสัดส่วนของกรุงเทพฯ สัก 88% และต่างจังหวัด 12% โดยส่วนใหญ่จะเปิดตัวในครึ่งปีแรก 3 โครงการจะเปิดในครึ่งปีแรกคิดเป็น 80%
แผนการลงทุน ในปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 8,500 ล้านบาท สำหรับซื้อที่ดินและสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ตั้งซื้อที่ดินไว้ที่ 4,000 ล้านบาท และตัวโรงแรมต่างๆ ตั้งไว้ 4,500 ล้านบาท
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)
Land and Houses จะเปิด Grand Centre Point ลุมพินี โดยในส่วนของ Office จะเปิดในวันนี้ ส่วนของโรงแรมจะเปิดในเดือนเมษายน เดือนหน้าทั้งหมดมี 512 ห้อง ตั้ง Occupancy Rate ไว้ที่ 70% และ Room Rate เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7,000 บาท พื้นที่ Office จะอยู่ที่ประมาณ 13,000 ตารางเมตร ปัจจุบัน Pre-Talk ไปแล้ว 25-30% เงินลงทุนของโครงการนี้อยู่ที่ประมาณ 4,830 ล้านบาท
ในปีนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน ที่ผ่านมาด้วยความตั้งใจก็ส่งผลให้ได้รับการประเมินและคัดเลือกให้อยู่ในดัชนีความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ในระดับประเทศ Set ESG Rating อยู่ในระดับ Double A และได้รับการรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรตามแนวทางขององค์กรบริหารก๊าซเรือนกระจก (มหาชน) และมาตรฐานระดับสากล ISO 14064-1 ในปี 2567 ได้รับการรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย หลังจากที่ปี 2566 ได้ประกาศเจตนารมณ์ และได้รับการรับรองให้เป็นสมาชิกแนวร่วม ในผลการประเมินดัชนีความยั่งยืนในระดับสากล ได้รับคัดเลือกให้อยู่ใน FTSE4Good Index ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แล้ว และ ESG Score ก็ดีขึ้น อยู่ที่ระดับ 3.1 และได้รับ ESG Score ระดับ Double B จาก MSCI ส่วน ESG Risk Score ก็ได้ระดับ Low Risk จาก Sustainalytics
ในเรื่องของการบริหารจัดการพลังงาน Land and Houses สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน โดยก่อแผงให้มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Roof ในอาคารสโมสรส่วนกลาง ระบบไฟฟ้าของบ่อบำบัดน้ำเสีย และโคมไฟเสา สูง ของโครงการใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ปีที่แล้ว และออกแบบระบบไฟฟ้าภายในบ้านให้รองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในโครงการใหม่ทุกโครงการ และเปลี่ยนไปใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแทนน้ํามัน
- บริษัทตั้งเป้าจัดซื้อวัสดุก่อสร้างที่ได้รับการรับรองตามเกณฑ์ของฉลากสิ่งแวดล้อม ในปีที่แล้วตั้งเป้าไว้ 20% แต่ทำได้จริงอยู่ที่ 24%
- ตั้งเป้าลดการใช้ไฟ ลดน้ํามัน ลดน้ำ และลดปริมาณขยะที่นำไปฝังกลบจากสำนักงานใหญ่
Air Plus Square พร้อมฟังก์ชัน Air Intake Motor ที่ Land and Houses พัฒนาขึ้นมา สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในบ้าน โดยระบบนี้สามารถถ่ายเทอากาศ ลดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ความชื้น และสารประกอบอินทรีย์ระเหย (TVOC) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบนี้จะมีการทำงานโดยการเติมอากาศใหม่ผ่าน Hepa Filter ซึ่งสามารถกรองฝุ่นขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน รวมถึง PM2.5 ได้ โดยในบ้านทุกหลังจะติดตั้ง Air Plus Square ให้ และจะทำงานอัตโนมัติเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจพบค่าฝุ่นเกินระดับที่ตั้งไว้ โดยมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ กินไฟนิดเดียว นอกจากนี้ Land and Houses ยังได้เพิ่มฟังก์ชัน Air Intake Motor ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ช่วยในการเปิดปิดช่องนำเข้าอากาศใหม่ อัตโนมัติ โดยช่องนี้สามารถเปิดปิดได้เองตามค่าฝุ่นที่กำหนดไว้ หรือจะควบคุมผ่านแอปพลิเคชั่น Air Plus Square ก็ได้ เทคโนโลยีนี้ได้เริ่มติดตั้งแล้วในโครงการมัณฑนา 100 Plus ที่พระราม 2 บางอุเทียน และจะขยายไปในทุกโครงการใหม่ในอนาคต
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [นาทีที่ 55:07]
**ทำไมยอดขายถึงลดลงจากปีก่อน และบริษัทมีแผนเพิ่มยอดขายอย่างไรบ้าง?** * สภาพเศรษฐกิจที่ยังซบเซาและการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยเฉพาะใน Segment บ้านราคากลางถึงสูง * กลยุทธ์หลักในปี 2568 คือ ลดหนี้, ลดค่าใช้จ่าย, ระบายสินค้าคงเหลือ, และปรับตัวตามสภาพเศรษฐกิจ **ผลตอบรับของแบรนด์ V เป็นอย่างไรบ้าง?** * เป็นแบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว ออกแบบบ้านหน้ากว้างสไตล์ Minimal ราคาจับต้องได้ * มี 3 ทำเลคือ ราชพฤกษ์ตัดใหม่, รามอินทราวงแหวน, และปิ่นเกล้าสาย 5 ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี **Grand Centre Point ลุมพินีที่กำลังจะเปิด ได้รับผลกระทบจาก One Bangkok ที่เปิดไปปีที่แล้วมากน้อยอย่างไร?** * โครงการ Mixed-Use มีห้องพักประมาณ 500 ห้อง และ Facility ครบครัน (ห้องออกกำลังกาย, สระว่ายน้ำบนชั้นสูง, Game Room, ห้องจัดเลี้ยง 2,000 คน) * เริ่มรับลูกค้าจัดงานสัมมนา และเปิดให้ลูกค้าบางกลุ่มทดลองแล้ว ได้ผลตอบรับอย่างดี * เชื่อว่าการอยู่ตรงข้าม One Bangkok จะเป็นผลดีกับโรงแรมมากกว่า เพราะสถานที่ใกล้ห้างและราคาโรงแรมในละแวกนั้นค่อนข้างสูง **กำไรจากการขายอพาร์ตเมนต์ในอเมริกา จะนำไปทำอะไร?** * มีแผนขายอพาร์ตเมนต์ 2-3 แห่งภายในปีนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในครึ่งปีแรก * เงินลงทุนที่ได้กลับมาน่าจะอยู่ประมาณหลักหมื่นล้าน จะนำไปชำระหนี้คืน เพื่อให้อัตราส่วน DE ของบริษัทลดลง **บริษัทมีแผนจะเปิดโรงแรมเพิ่มอีกไหม และถ้ามีจะเป็นที่กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด?** * ธุรกิจท่องเที่ยวในไทยยังไปได้ดี และมีศักยภาพอีกมาก ยังคิดจะขยายจำนวนโรงแรมต่อไปเรื่อย ๆ * ได้ที่ดินมาอีกแปลงที่เฉลิมบุรี ตรงเยาวราช คิดว่าจะเป็น Grand Centre Point Chinatown **แผนเปิดคอนโดใหม่เป็นอย่างไร?** * ตอนนี้ยังไม่มีแผนเปิดตัวคอนโดใหม่ มีแค่ One เวลา ณ เจ้าพระยาที่เปิดไปเมื่อปลายปี 2566 * คาดว่าจะแล้วเสร็จและโอนได้ประมาณปลายปีหน้าเป็นต้นไป ทั้งโครงการมีมูลค่าประมาณ 15,000 ล้าน โดยมียอดจองอยู่ที่ประมาณ 54% แล้ว **ปันผลในปี 2568 จะจ่ายที่เรทเท่าเดิมหรือไม่?** * ต้องดูจากสภาพตลาดและสภาพเศรษฐกิจโดยรวม * บริษัทมีรายได้ 3 แหล่งหลักสำหรับการจ่ายปันผล คือ รายได้จากการขายบ้าน/คอนโด, ธุรกิจโรงแรม/ห้าง, และการลงทุนในบริษัทลูก * นโยบายปันผลขึ้นอยู่กับผลประกอบการจาก 3 ธุรกิจหลักของบริษัท **รอบจ่ายปันผลในปี 2568 จะเป็นอย่างไร? จะเหมือนปีที่แล้วที่มีการขยับเวลา Timing การจ่าย Dividend ตัว Interim ออกไปหรือไม่?** * รอบการจ่ายปันผลในปีนี้จะเป็นเหมือนที่ปกติที่ผ่านมา ไม่เหมือนปีที่แล้ว * จะจ่ายจากกำไรของบริษัท โดยปันผลระหว่างกาลจะจ่ายจากกำไรของบริษัท 6 เดือนแรก และอีกครั้งหนึ่งจะเป็นจากกำไรของบริษัทในช่วง 6 เดือนหลังของปี **ถ้ามีการขาย Terminal พัทยาออกไปในปีที่ผ่านมา ปีนี้จะทำให้รายได้รวมลดลงหรือไม่?** * การขายห้าง Terminal 21 จะทำให้รายได้จากค่าเช่าลดลง * แต่บริษัทได้กำไรจากการขายห้างนี้เมื่อปีที่แล้วเข้ามาประมาณ 2,000 ล้านบาท รวมถึงกระแสเงินสดที่จะนำไปลงทุนในธุรกิจห้างหรือธุรกิจอื่น ๆ ต่อไปได้ * เงินดังกล่าวปัจจุบันมีโครงการในการสร้างโรงแรม 3 แห่ง ที่อยู่ในการก่อสร้าง (ลุมพินี, ราชดำริ, พัทยา) **จากการที่ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยลง บริษัทคาดว่าจะมีผลกระทบมากน้อยขนาดไหน?** * ภาระดอกเบี้ยของบริษัทที่จะลดลง * อัตราดอกเบี้ยของบริษัทในการออกหุ้นกู้ครั้งใหม่ที่น่าจะลดลงไป * การลดดอกเบี้ยน่าจะช่วยแบ่งเบาภาระในการผ่อนเงินกู้บ้านต่อเดือนลง หากธนาคารพาณิชย์เองก็ปรับเงินกู้ลงด้วย * อาจจะเห็น Rejection Rate ที่ดีขึ้น * เรื่องความต้องการการซื้อบ้านจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ คงต้องดูในระยะกลางและยาวต่อไปว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหนโดยสรุป Land and Houses กำลังเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ก็มีแผนรับมือที่ชัดเจน โดยเน้นการลดหนี้, ควบคุมค่าใช้จ่าย, ขยายธุรกิจโรงแรม, และพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว