สรุปงบล่าสุด TSC

บริษัท ไทยสตีลเคเบิล จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
**บทสรุปผลประกอบการบริษัท ไทยสติลเคเบิล จำกัด (มหาชน) (TSC) ปี 2567**
ในไตรมาสล่าสุดของปี 2567 บริษัท ไทยสติลเคเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ TSC มีการปรับตัวของผลประกอบการที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นไปที่การบริหารต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นถึง 2.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบลดลง 1.78% ค่าแรงงานทางตรงลดลง 0.15% และโสหุ้ยการผลิตลดลง 0.09% แม้ว่ารายได้จากการขายจะลดลง 7.69% เหลือ 2,683.22 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ชะลอตัวลง แต่บริษัทฯ ก็ยังสามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 295.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.84% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้น 1.31% และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง 0.03 เท่า สะท้อนถึงการบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ และการลดหนี้สินหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างใกล้ชิด การที่รายได้ลดลงนั้นเป็นผลจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก เช่น การหดตัวของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ภาวะหนี้ครัวเรือน และการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ที่เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการที่บริษัทฯ มีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) เพิ่มขึ้น 0.22 เท่า จากปีก่อน สะท้อนถึงสภาพคล่องที่แข็งแกร่งขึ้น แม้ว่ายอดผลิตรถยนต์จะลดลงถึง 16.88% และรถจักรยานยนต์ลดลง 11.94% บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาความสามารถในการทำกำไรและสร้างการเติบโตในระยะยาว
จากข้อมูลผลประกอบการและอัตราส่วนทางการเงิน TSC แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงาน แม้ในสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ราคาหุ้นเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 14.49 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ในตลาด แม้ P/E จะอยู่ที่ 13.29 ซึ่งไม่สูงมากนัก และ P/BV ที่ 2.55 บ่งชี้ว่าราคาหุ้นอาจไม่ได้สูงเกินมูลค่าทางบัญชี และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Yield) ที่ 7.95% ซึ่งถือว่าน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับเงินปันผล แต่ต้องพิจารณาด้วยว่าการเติบโตของรายได้นั้นยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว โดย D/E ที่ต่ำบ่งชี้ถึงพื้นฐานที่มั่นคงและมีความสามารถในการกู้ยืมเพื่อการลงทุนในอนาคตได้ หากบริษัทฯ มีโครงการที่น่าสนใจ ส่วนวงจรเงินสด (Cash Cycle) ที่ยังไม่มีข้อมูลนั้นเป็นสิ่งที่น่าติดตามเพื่อประเมินประสิทธิภาพในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง (ปี 2567 เท่ากับ 483.739 ล้านบาท) แสดงถึงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน แต่เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุนติดลบ (ปี 2567 เท่ากับ -58.579 ล้านบาท) แสดงถึงการลงทุนต่อยอดธุรกิจ สำหรับโอกาสและความเสี่ยงที่น่าพิจารณาคือ
* **โอกาส:** การที่บริษัทฯ มีการบริหารต้นทุนที่ดี การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ ทำให้ TSC เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะยาว และต้องการถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผล
* **ความเสี่ยง:** การชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และความผันผวนของราคาหุ้นอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ในระยะสั้น
โดยสรุปแล้ว TSC เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการปรับตัว แต่การลงทุนในหุ้น TSC อาจเหมาะสำหรับนักลงทุนที่เน้นการถือครองระยะยาว และต้องการรับเงินปันผลเป็นหลัก มากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนจากสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
(116.38%)
(6.46%)
(84.80%)
(3.92%)
(14.57%)
(2.75%)
(151.87%)
(16.94%)
(46.08%)
(3.81%)
(7.12%)
(4.53%)