สรุปงบล่าสุด TRITN
บริษัท ไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 2 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
บริษัท ไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TRITN) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 รายได้รวม 114.07 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำรายได้ 175.33 ล้านบาท หรือลดลง 34.94% เนื่องจากโครงการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันไปภาคเหนือแล้วเสร็จ ส่วนโครงการก่อสร้างท่อส่งน้ำกับการประปานครหลวง (มูลค่า 503 ล้านบาท) และโครงการก่อสร้างระบบท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือ ระยะที่ 3 (สระบุรี-อ่างทอง) (มูลค่า 603 ล้านบาท) คาดว่าจะเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้ในไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ ได้ตั้งสำรองผลขาดทุนจากการด้อยค่าโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียธนบุรี สัญญา 3 จำนวน 390 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาเรื่องใบอนุญาตจากภาครัฐ และการเข้าถึงพื้นที่ก่อสร้าง ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ (390.71) ล้านบาท ในไตรมาส 2/2567 เทียบกับผลขาดทุนสุทธิ (66.23) ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัทฯ ตั้งเป้าจะเร่งสร้างรายได้จากงานก่อสร้างในไตรมาส 3 และ 4 โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างท่อส่งน้ำกับการประปานครหลวง และโครงการก่อสร้างระบบท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือ ระยะที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้ในไตรมาส 3/2567 นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายธุรกิจ “มาดามหลุยส์” ซึ่งมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต บริษัทฯ มีแผนที่จะลดค่าใช้จ่าย โดยปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และคาดว่าจะสามารถทำกำไรได้ในปี 2568
จากผลประกอบการล่าสุดและข้อมูลทางการเงินย้อนหลังสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทฯ มีความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจก่อสร้าง โดยรายได้จากธุรกิจก่อสร้างในไตรมาส 2/2567 ลดลง 54.51% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีขาดทุนขั้นต้น 55.33 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ มี D/E 1.35 (ข้อมูลล่าสุด) แสดงถึงภาระหนี้สินที่ค่อนข้างสูง โดยบริษัทฯ มีแนวโน้มที่จะนำเงินไปลงทุนต่อยอดธุรกิจ เนื่องจากเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุนติดลบมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นบวกในไตรมาส 2/2567 (76.33 ล้านบาท) ซึ่งสะท้อนถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดี TRITN เป็นโอกาสลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาว และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง เนื่องจากบริษัทฯ มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต แต่ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับเงินปันผล เพราะ YIELD ต่ำกว่า 4% และราคาหุ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำกว่า 0.30 บาท
(35.69%)
(34.94%)
(1,331.56%)
(715.66%)
(2,011.94%)
(1,152.81%)
(15.80%)
(16.15%)
(1,247.07%)
(561.53%)
(228.79%)
(151.88%)