สรุปงบล่าสุด TPAC

บริษัท พลาสติค และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
**บทสรุปผลประกอบการ บริษัท พลาสติค และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน) (TPAC) ปี 2567**
TPAC ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์พลาสติก มีโครงสร้างกลุ่มบริษัทที่ประกอบด้วยบริษัทแม่ Thai Plaspac Public Company Limited และบริษัทย่อย 6 แห่งที่ถือหุ้นโดยตรงและโดยอ้อม รวมถึงการเข้าซื้อหุ้นที่เหลือ 20% ใน Composite Solution TPAC มีโรงงานทั้งหมด 17 แห่งทั่วเอเชีย รวมถึงโรงงานแห่งแรกในฟิลิปปินส์ที่สร้างเสร็จในปีนี้ TPAC ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการการลงทุน (BOI) สำหรับการนำเข้าเทคโนโลยีระดับสูงในการผลิตในฟิลิปปินส์ งบการเงินรวมของกลุ่มบริษัทประกอบด้วยรายได้จากบริษัทย่อยทั้งหมดทั่วโลก ปี 2567 แสดงให้เห็นถึงรายได้จากการขายรวม 7,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้า แต่กำไรสุทธิลดลง 14% มาอยู่ที่ 490 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้นจากการดำเนินงานหลัก (Core EPS) อยู่ที่ 1.27 บาท ลดลง 16% เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน 1,143 ล้านบาท ลดลงจาก 1,099 ล้านบาทในปีก่อนหน้า เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุน 984 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อเครื่องจักรใหม่และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์
บริษัทมีแผนธุรกิจและกลยุทธ์ในอนาคตที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาดบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม TPAC คาดการณ์ว่าความต้องการบรรจุภัณฑ์พลาสติกจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงยาและเวชภัณฑ์ บริษัทจึงวางแผนที่จะลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ใช้วัสดุรีไซเคิลได้มากขึ้น รวมถึงขยายกำลังการผลิตในภูมิภาคเอเชียเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด กลยุทธ์หลักคือการสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร บริษัทเปิดตัวรายงานความยั่งยืนฉบับแรก ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ "ยอดเยี่ยม" TPAC ได้รับรางวัลทองจากสมาคมผู้ผลิตมาเลเซียสำหรับโครงการด้านความยั่งยืน
การพิจารณา TPAC เป็นโอกาสในการลงทุนต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน แม้ว่ารายได้จากการขายรวมของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่กำไรสุทธิและกำไรสุทธิต่อหุ้นลดลงเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การลงทุนในโรงงานใหม่ และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-off expenses) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม TPAC มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 1.17 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.13 เท่าในปีก่อนหน้าแสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สินได้ดี นอกจากนี้ บริษัทยังมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต ธุรกิจในประเทศไทยมีการเติบโตในปริมาณยอดขายที่ระดับประมาณ 11% โดยมีแรงหนุนจากกลุ่มลูกค้าใหม่ แม้ว่าความสามารถในการทำกำไรยังถูกกดดันจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ธุรกิจในอินเดียยังคงเติบโตในรูปของปริมาณการขาย แต่กำไรสุทธิลดลงเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับขึ้นในบางโรงงาน และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-off expenses) ธุรกิจในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มียอดขายสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท แต่ในไตรมาส 4 ปี 2567 ปริมาณการขายมีการลดลงเล็กน้อยเนื่องจากความต้องการตามฤดูกาล ธุรกิจในมาเลเซียมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยของยอดปริมาณการขายเนื่องจากอุปสงค์ของตลาดที่ปรับตัวลดลง แต่บริษัทมีแผนกลยุทธ์ในการลงทุนเพิ่มเติมในเทคโนโลยีใหม่เพื่อเป็นผู้ให้บริการโซลูชันครบวงจรในมาเลเซีย
**โอกาส**
* ความต้องการบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ยั่งยืนเพิ่มขึ้น
* การขยายตัวของตลาดอาหาร ยา และเวชภัณฑ์ในเอเชีย
* การสนับสนุนจากภาครัฐในการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
* การเติบโตของธุรกิจในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอินเดีย
* การเปิดโรงงานใหม่ในฟิลิปปินส์
* การปรับปรุงต้นทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
**ความเสี่ยง**
* ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
* การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดบรรจุภัณฑ์
* กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการใช้พลาสติก
* ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-off expenses)
* ผลกระทบจากฤดูกาลต่อยอดขาย
* การชะลอตัวของตลาดในจงกจ้าง
(4.87%)
(0.64%)
(1.61%)
(6.49%)
(3.40%)
(5.84%)
(12.21%)
(29.61%)
(29.60%)
(25.51%)
(44.08%)
(21.69%)