สรุปงบล่าสุด TNDT

บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
## บทสรุปผลประกอบการ บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) (TNDT) ปี 2567
**ภาพรวมผลประกอบการปี 2567:**
บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) หรือ TNDT รายงานผลประกอบการปี 2567 โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 301.66 ล้านบาท ลดลง 10.15% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้รวม 335.73 ล้านบาท บริษัทประสบผลขาดทุนสุทธิ 274.37 ล้านบาท ลดลง 23.89% เมื่อเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากธุรกิจบริการตรวจสอบและทดสอบโดยไม่ทำลาย (Non-Destructive Testing หรือ NDT) การด้อยค่าของสินทรัพย์ และการขายสัญญาเช่าเงินทุน
**รายได้:**
* **รายได้จากการดำเนินงาน (บริการ):** อยู่ที่ 268.79 ล้านบาท ลดลง 12.10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากบริษัทมีการเลือกรับงานกับบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือด้านเครดิตที่ดี
* **รายได้จากการขาย:** เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 23.48 ล้านบาท เนื่องจากการเริ่มธุรกิจการขายข้าว
* **รายได้ตามสัญญาเช่าเงินทุน:** ลดลงอย่างมากถึง 83.46% เหลือเพียง 4.71 ล้านบาท เนื่องจากการขายสัญญาเช่าเงินทุนในไตรมาส 3 ปี 2567
* **รายได้อื่น:** เพิ่มขึ้น 158.13% เป็น 5.24 ล้านบาท
**สถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบ:**
แม้จะไม่มีการกล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโดยตรงในเอกสารที่ให้มา แต่สามารถอนุมานได้ว่าการเลือกรับงานกับบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือด้านเครดิตที่ดี สะท้อนถึงความระมัดระวังในการบริหารความเสี่ยงด้านลูกหนี้การค้า ซึ่งอาจเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
**การวิเคราะห์รายได้และกำไร:**
* **ต้นทุนงานบริการ:** ลดลง 15.08% สอดคล้องกับการลดลงของรายได้จากธุรกิจบริการ
* **ต้นทุนทางการเงิน:** เพิ่มขึ้น 17.99% อาจเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหรือการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น
* **กำไรขั้นต้น:** ลดลง 6.19% เป็น 110.14 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้ที่ลดลงของธุรกิจบริการตรวจสอบและทดสอบโดยไม่ทำลาย
* **ค่าใช้จ่ายในการบริหาร:** เพิ่มขึ้น 33.20% เป็น 87.94 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการขยายธุรกิจใหม่และต้นทุนจากการจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการเพิ่มทุน
* **ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์:** บริษัทมีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงินและสินทรัพย์ทางการเงิน จำนวน 68.54 ล้านบาท และ 123.06 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) การตั้งสำรองดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากความล่าช้าในการเปิดดำเนินการของธุรกิจโรงไฟฟ้าที่เมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เนื่องมาจากสถานการณ์การเมืองและความไม่สงบในประเทศเมียนมา และค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศ
* **ค่าใช้จ่ายอื่น:** เพิ่มขึ้นเป็น 63.77 ล้านบาท เนื่องมาจากขาดทุนจากการขายสัญญาเช่าเงินทุน
**สินทรัพย์ หนี้สิน และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E):**
เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์และหนี้สินในเอกสารที่ให้มา จึงไม่สามารถวิเคราะห์ความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทได้
**กระแสเงินสด:**
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกระแสเงินสดในเอกสารที่ให้มา จึงไม่สามารถวิเคราะห์ผลกระทบของการไหลของเงินต่อการดำเนินงานของบริษัทได้
**ปัจจัยความเสี่ยงและโอกาส:**
* **ปัจจัยความเสี่ยง:**
* ความล่าช้าในการเปิดดำเนินการของธุรกิจโรงไฟฟ้าในเมียนมาเนื่องจากสถานการณ์การเมืองที่ไม่สงบ
* ความเสี่ยงด้านเครดิตของพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศ
* **โอกาส:**
* การขยายธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจการขายข้าว
* การเพิ่มทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน
**แนวโน้มอนาคต:**
แนวโน้มอนาคตของ TNDT ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในเมียนมา การควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหาร และการสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ การเพิ่มทุนสำเร็จจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและสนับสนุนการเติบโตในอนาคต
**สรุปความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ กำไร อัตรากำไรขั้นต้น อัตรากำไรสุทธิ และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E):**
รายได้ที่ลดลงจากธุรกิจบริการหลักส่งผลกระทบต่อกำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการบริหารและการตั้งสำรองจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ยังส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิอีกด้วย หากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) จึงไม่สามารถประเมินผลกระทบของการก่อหนี้ต่อความสามารถในการทำกำไรได้
**โดยสรุป:** ปี 2567 เป็นปีที่ท้าทายสำหรับ TNDT โดยมีผลประกอบการที่ลดลงเนื่องจากปัจจัยหลายประการ อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจใหม่และการเพิ่มทุนอาจเป็นโอกาสในการฟื้นตัวและเติบโตในอนาคต
(1.92%)
(15.03%)
(33.78%)
(2.94%)
(35.05%)
(10.53%)
(48.93%)
(7.79%)
(210.62%)
(47.42%)
(149.60%)
(95.80%)