สรุปงบล่าสุด SAUCE

บริษัท ไทยเทพรส จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
## สรุปผลประกอบการและฐานะทางการเงิน บริษัท ไทยเทพรส จำกัด (มหาชน) (SAUCE) ปี 2567 (อัปเดตข้อมูลสินค้าคงเหลือและการลงทุน)
บริษัท ไทยเทพรส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหารภายใต้แบรนด์ "ภูเขาทอง" และแบรนด์อื่นๆ รายงานผลประกอบการปี 2567 โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.6% เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็น 743.85 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายในประเทศจะเติบโตได้ 0.6% จากช่องทางหน่วยรถและโมเดิร์นเทรด แต่ยอดขายต่างประเทศกลับลดลงถึง 9.5% จากปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์สู้รบในพม่า ค่าเงินของประเทศเพื่อนบ้านอ่อนตัว และปัญหาค่าขนส่งที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถลดต้นทุนขายลงได้ 0.8% จากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ในขณะที่ต้นทุนในการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 6.3% จากการสนับสนุนทางการตลาดและค่าโฆษณาที่มากขึ้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ โดยในปี 2567 จ่ายปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 1.72 บาท คิดเป็น 83.72% ของกำไรสุทธิ
สำหรับแผนธุรกิจและกลยุทธ์ในอนาคตนั้น ยังไม่มีข้อมูลที่เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน แต่จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศ และการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการทำกำไร แม้ว่าสถานการณ์ภายนอกประเทศจะไม่เอื้ออำนวยนัก การที่บริษัทมุ่งเน้นการทำตลาดในประเทศมากขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการปรับตัวเพื่อรับมือกับความผันผวนในตลาดต่างประเทศ บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) คงที่ที่ 0.102 และไม่มีหนี้สินจากการกู้ยืม บริษัทมีเงินสดในมือ 625.87 ล้านบาท และมีวงเงินกู้เบิกเกินบัญชีที่ยังไม่ได้ใช้อีก 97.50 ล้านบาท
การพิจารณาว่า SAUCE เป็นโอกาสในการลงทุนหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายด้าน แม้ว่ากำไรสุทธิจะเติบโตได้เล็กน้อย แต่การเติบโตส่วนใหญ่มาจากตลาดในประเทศ ซึ่งมีความอิ่มตัวสูงกว่าตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ การที่ยอดขายต่างประเทศลดลงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิที่ค่อนข้างสูง (20.9%) และมี D/E ที่ต่ำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินในระดับหนึ่ง รวมถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ การลงทุนใน SAUCE จึงอาจเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง แต่ต้องยอมรับการเติบโตที่อาจจะไม่สูงนัก
**วิเคราะห์ความสัมพันธ์และปัจจัยสำคัญ:**
* **รายได้ vs. กำไร:** รายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น
* **อัตรากำไรขั้นต้น:** เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (0.5%) แสดงถึงประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น
* **อัตรากำไรสุทธิ:** ทรงตัวที่ระดับสูง (20.9%) แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดี
* **D/E:** ต่ำมาก (0.102) แสดงถึงความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำ
* **นโยบายปันผล:** จ่ายปันผลในอัตราสูง แสดงถึงความมั่นใจในผลประกอบการ
* **ปัจจัยสำคัญ:** ตลาดในประเทศเป็นแหล่งรายได้หลัก แต่ตลาดต่างประเทศมีความผันผวนสูง
* **สินค้าคงเหลือ:** วัตถุดิบและหีบห่อเพิ่มขึ้น เนื่องจากยอดขายต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
* **การลงทุนระยะยาว:** ไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 20 ล้านบาท
**พัฒนาการสำคัญ:**
* การเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางหน่วยรถและโมเดิร์นเทรด
* การลดต้นทุนขายจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น
* การจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง
* การไถ่ถอนเงินลงทุนระยะยาว
**อนาคตการลงทุน:**
* บริษัทมีความมั่นคงทางการเงิน
* มีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง
* จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
* การเติบโตอาจจะไม่สูงนัก
**โอกาส:**
* การขยายตลาดในประเทศ
* การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
**ความเสี่ยง:**
* ความผันผวนในตลาดต่างประเทศ
* การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเครื่องปรุงรส
* ต้นทุนวัตถุดิบที่อาจเพิ่มขึ้น
* สินค้าคงเหลือที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งบอกถึงความต้องการที่ลดลง
**ข้อมูลการเงินเพิ่มเติม:**
* P/E (ล่าสุด 18): แสดงถึงราคาหุ้นที่ค่อนข้างสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับกำไร
* P/BV (ล่าสุด 4.54): แสดงถึงมูลค่าหุ้นที่สูงกว่ามูลค่าตามบัญชี
* Yield (ล่าสุด 4.62): แสดงถึงผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ
* อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนสูง (8.5 เท่า) แสดงถึงสภาพคล่องที่ดี
**สรุป:** SAUCE เป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดที่ดี และมีนโยบายจ่ายปันผลที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคงและสร้างรายได้จากเงินปันผล แต่ต้องพิจารณาถึงศักยภาพในการเติบโตที่อาจจะไม่สูงนัก ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก และปริมาณสินค้าคงเหลือที่เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ การที่บริษัทได้ยกเลิกแผนการขยายโรงงาน อาจบ่งบอกถึงมุมมองต่อการเติบโตในอนาคตที่ค่อนข้างระมัดระวัง
(4.99%)
(0.34%)
(7.24%)
(0.85%)
(2.13%)
(1.20%)
(3.22%)
(3.22%)
(15.68%)
(0.54%)
(263.86%)
(45.39%)