สรุปงบล่าสุด PRIME
บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 3 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 ปี 2567 โดยบริษัทในเครือได้ส่งมอบโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาแบบครบวงจรให้กับคู่สัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำนวน 5 โครงการ โดยมีขนาดกําลังการผลิตรวม 2.56 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทย่อยภายใต้ PRIME ยังสามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) จากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Xintong 9) ที่โถหนาน ประเทศไต้หวัน ขนาดกําลังการผลิต 1.84 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศ และเป็นการสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว บริษัทคาดการณ์ว่าในไตรมาส 4 ปี 2567 จะสามารถสรุปข้อตกลงสำหรับโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาในประเทศไทยเพิ่มเติมได้อีกหลายโครงการ โดยมีกําลังการผลิตรวมกว่า 4 เมกะวัตต์
ในอนาคต บริษัท PRIME มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ และสร้างโอกาสในการเติบโต บริษัทฯ คาดหวังว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ในปี 2568 ได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงการใหม่ๆ การขยายตลาดในต่างประเทศ และการสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (On-Grid) รวมถึงการลดต้นทุนของระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ซึ่งเปิดโอกาสให้ PRIME สามารถเข้าไปลงทุนในตลาดแผงโซลาร์ที่ติดตั้งบนหลังคาหรือ Private Purchasing Agreement (PPA) ในต่างประเทศ เช่น ตลาดอินเดียและบางประเทศในแอฟริกา ที่การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จะเติบโตเป็นอย่างดีในอีก 5 ปีข้างหน้า
PRIME ยังได้รับผลดีจากแผนการเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทย เพื่อบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกเกือบร้อยละ 50 ภายในปี 2571 และเข้าสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593
จากผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 และอัตราส่วนทางการเงินย้อนหลังของบริษัท PRIME พบว่าบริษัทมี D/E อยู่ที่ 2.93 ซึ่งแสดงถึงภาระหนี้สินที่สูง อย่างไรก็ตาม บริษัทมี P/BV อยู่ที่ 0.38 ซึ่งสะท้อนถึงราคาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี และ YIELD อยู่ที่ 0% ซึ่งอาจไม่น่าสนใจลงทุนเพื่อรับเงินปันผล P/E ล่าสุดอยู่ที่ -100 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมากจนไม่น่าสนใจ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการเงินเพิ่มเติม เช่น รายได้รวม ล้านบาท ปี 2566 = 1656.466 ล้านบาท , กำไรสุทธิ ล้านบาท ปี 2566 = -901.638 ล้านบาท และ เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน ล้านบาท ปี 2566 = -67.716 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีผลขาดทุน และยังมีปัญหาในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน แม้ว่าบริษัทจะมีแผนการขยายธุรกิจและสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางธุรกิจ แต่ผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา และความเสี่ยงจากภาระหนี้สินที่สูง อาจทำให้นักลงทุนบางส่วนลังเลในการลงทุน
**โอกาส:**
* บริษัท PRIME มีศักยภาพในการเติบโตในตลาดพลังงานทดแทน
* บริษัทมีโครงการพัฒนาที่น่าสนใจ
* บริษัทมีแผนการขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
* ตลาดพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตสูง
* ภาครัฐสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
* ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ลดลง
* ตลาดแผงโซลาร์ที่ติดตั้งบนหลังคาหรือ PPA ในต่างประเทศมีศักยภาพสูง
* แผนการเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทย สนับสนุนการเติบโตของ PRIME
**ความเสี่ยง:**
* ผลประกอบการของบริษัท PRIME มีความผันผวนสูง
* บริษัทมีภาระหนี้สินที่สูง
* บริษัทอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการหาแหล่งเงินทุน
โดยสรุป การลงทุนใน PRIME เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และมองเห็นโอกาสในการเติบโตของตลาดพลังงานทดแทน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามผลประกอบการของบริษัทอย่างใกล้ชิด และประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจลงทุน
(3.09%)
(1.58%)
(16.44%)
(10.89%)
(13.78%)
(9.45%)
(21.15%)
(2.11%)
(46.42%)
(992.89%)
(359.63%)
(71.19%)