สรุป OPPDAY หุ้น NEO
Oppday
สรุป OPPDAY
สรุป OPPDAY หุ้น NEO: ไตรมาส 3 ปี 2568 - โอกาสและความท้าทายในตลาดที่เปลี่ยนแปลง
สวัสดีครับ/ค่ะ ยินดีต้อนรับสู่งาน SET Opportunity Day ของบริษัท NEO Corporate จำกัด (มหาชน) ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2568 โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารในการให้ข้อมูลผลการดำเนินงานประจำไตรมาสนี้ ได้แก่ คุณสุทธิเดช ตระกูลศรี (CEO), คุณนิชมน ตระกูลศรี (Deputy CEO สาย Innovation), คุณพัชนก (CFO) และ คุณป๋อม (Director)
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
- ไฮไลท์ประจำไตรมาสที่ 3/2568: มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ (NPD) และ Re-launch รวม 97 SKU
- รายได้รวม (Operation Revenue): 2,627 ล้านบาท
- รายได้จากผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน (Household): 1,194 ล้านบาท เติบโตจากการร่วมมือกับ วง BAS
- ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มของ NEO เติบโต 17% (Year-on-Year)
- กำลังการผลิต: 268,000 ตันต่อปี, อัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate): 71%
- ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ (New Household Plant Phase 1): เสร็จสิ้น 35%
- Liquid Detergent Market: NEO เติบโตได้ดีกว่าตลาด โต 14.8% (Year-on-Year), Market Share เพิ่มขึ้นเกือบ 1% เป็น 29.3%
- สินค้าไฮไลท์: สูตร 3 in 1 ของ ไฟน์ไลน์ สะอาด หอม รีดง่าย เหมาะสำหรับคนเมืองที่มีเวลาน้อย
- บริษัทได้รับ 5 Awards ในไตรมาสนี้
- ESG: การนำพลาสติกรีไซเคิลมาใช้ ลด Virgin Plastic ได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนและชุมชน เกินเป้าหมาย 23% จากเป้า 20%
ภาพรวมตลาดที่ NEO แข่งขัน (ซักผ้า, ปรับผ้านุ่ม, อาบน้ำ) ในช่วง 9 เดือน ตลาดโตเพียง 3.6% ต่ำกว่าปกติที่ควรโต 7% ขึ้นไป แต่ NEO สามารถ Outperform ตลาดได้ โต 9.1%
- สัดส่วนรายได้: Household Product 44%, Personal Care 28%, Baby & Kids 28%
- ช่องทางขาย: Modern Trade 51%, Traditional Trade 32%, Other Channel (Online) 8%, Export 9%
ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้ ยอดขาย 2,627 ล้านบาท เติบโต 7.8% จากปีก่อน หรือ 1.7% จากไตรมาสก่อน จากการเติบโตของ Household สินค้า โต 16.5% (Year-on-Year) หรือ 3.3% (Q on Q) จากสินค้าแบรนด์ ไฟน์ไลน์
- Personal Care: เติบโต 5.7% (Year-on-Year) หรือ 6% (Q on Q) จากผลิตภัณฑ์โคโลน, ครีมบำรุงผิวของแบรนด์ บีไนท์
- Baby & Kids: ปรับตัวลดลง 2.7% จากปีก่อน ตลาดเด็กในประเทศชะลอตัว, ลดลง 5.1% จากไตรมาสก่อน Demand เด็กลดลงในลาว, ออเดอร์จากเวียดนามเลื่อนไปไตรมาส 4
ยอดขายในประเทศเติบโต 8.7% (Year-on-Year) หรือ 5.6% (Q on Q) แต่ยอดขายต่างประเทศลดลง
- Gross Profit: 973 ล้านบาท ลดลง 10.1% จากปีก่อน หรือ 2.7% จากไตรมาสก่อน จากวัตถุดิบราคาแพงขึ้น, Product Mix ที่ Household เติบโตมาก (Margin น้อยกว่ากลุ่มอื่น)
- S&A: 885 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12.3% แต่คงที่จากไตรมาสก่อน จากกิจกรรมส่งเสริมการขาย
- Net Profit: 59 ล้านบาท ลดลง 74.5% จากปีก่อน หรือ 26.3% จากไตรมาสก่อน
ผลการดำเนินงาน 9 เดือนสะสม ยอดขาย 7,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากปีก่อน จากสินค้า Household โต Double Digit 12.5% จากแบรนด์ ไฟน์ไลน์
- Personal Care: โต 6.8% จากปีก่อน จากครีมอาบน้ำ, ครีมบำรุงผิวของ บีไนท์
- Baby & Kids: ลดลง 5.4% ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและล้างขวดนม ตลาดเด็กในประเทศชะลอตัว Demand ในลาวลดลง
ยอดขายในประเทศยังโต 5.9% แต่ต่างประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- กำไรขั้นต้น 9 เดือน: 3,055 ล้านบาท ลดลง 9.8% จากปีก่อน ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น
- Gross Profit ลดลง 17.3%, ค่าเสื่อมราคาจากอาคาร Personal Care ทำให้ Gross Profit ลดลง 1.6% จากปีก่อน
- Gross Profit Margin: 39.2% ลดลงจาก 45.7% ในปีก่อน
- S&A: 2,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากปีก่อน กิจกรรมส่งเสริมการขายสูงขึ้น, Supply Chain ปรับเพิ่มขึ้นตามยอดขายและราคาน้ำมัน
- S&A to Sales: 32.4% คงที่เมื่อเทียบกับปีก่อน
กำไรสุทธิ 9 เดือน ลดลง 48.6% จากปีก่อน เป็น 395 ล้านบาท, Net Profit Margin ที่ 5%
- Total Assets: เพิ่มขึ้น 4.9% จากปีก่อน ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ และเงินจ่ายล่วงหน้าค่าก่อสร้างอาคาร
- หนี้สิน: เพิ่มขึ้น 9.2% เจ้าหนี้ค่าก่อสร้าง อาคาร Household เฟส 1, การเบิกเงินกู้ยืมโครงการขยายกำลังผลิต Personal Care
- Shareholder Equity: ลดลงเล็กน้อย จากการจ่ายปันผล 405 ล้านบาท เมื่อเดือนพฤษภาคม
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
- แผน Launch สินค้าใหม่ (NPD) ไตรมาสหน้า: ประมาณ 60 SKU
- Product Highlight: ไฟน์ไลน์ 3 in 1 ซัก ปรับ รีดง่าย เป็น Product Innovation ของตลาด
- Target Group ของ ไฟน์ไลน์ กว้าง เน้นขายความสนุกสบาย คุ้มค่า มีหลาย Size (ซอง ถึง 1,780 ml)
- บีไนท์ Extra Bright Series: ต่อยอดความสำเร็จ Cream อาบน้ำ สู่ Body Serum
- เน้น Skin Benefit มากกว่าแค่ความหอม
NEO เล็งเห็น Opportunity ในตลาด Body Moist (ปีที่แล้ว 12,000 ล้านบาท) เน้น Segment Adult มากขึ้น จากเดิมที่เน้น Baby (แบรนด์ ดีนี่)
- ขยับ Rank เป็น Rank ที่ 17 (ปีที่แล้ว Rank 30)
- ภาพรวม Body Moist ขึ้นมาเป็น Top 10
- Product กลุ่มนี้ NEO มั่นใจว่าสินค้าคุณภาพดี GP ดี
Marketing Campaign: ไฟน์ไลน์ นำวง BAS (T-POP อันดับ 1 ของไทย) เป็น Brand Ambassador ขยายฐาน Consumer สู่ Gen Z และสร้าง Brand Awareness ให้ Gen Alpha
- แคมเปญนี้ Launch ไป 2 เดือน Target 50% (จาก Target 6 เดือน)
- Online Activity: ทำอย่างต่อเนื่อง เป็นช่องทางที่ Growth ค่อนข้างมาก
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
- กัมพูชา: สินค้าไทยถูกแบน สต็อกยัง Cover ได้อีกหลายเดือน
- Baby & Kids: ตลาดเด็กในประเทศชะลอตัว
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
- กัมพูชา: ศึกษา Business Model ใหม่
- ลาว: จัดงานพระธาตุประจำปี, แข่งเรือประจำปี, ปั้น Personal Care แบรนด์
- เวียดนาม: จัดกิจกรรม School Tour, เปิด Shop ใหม่ใน TikTok Shop, นำเสนอแคมเปญพิเศษ Online
- Baby & Kids: ขยายผลิตภัณฑ์ mind and care ของผู้ใหญ่
เลื่อนแผนการก่อสร้าง Household เฟส 2 และ Warehouse รอแมท แพคแมท ออกไป 2-3 ปี (COD จาก Q2/2571 เป็น Q1/2573, Warehouse จาก Q2/2570 เป็น Q2/2572) เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน
NEO ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากโครงการ "คนละครึ่ง Plus" และ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในไตรมาสที่ 4 โดยเฉพาะช่องทาง Traditional Trade และ Convenience Store
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
- ปรับประมาณการเป้าหมายเฉลี่ยเติบโตระยะ 5 ปี เป็น Single Digit
- Source of Growth: สินค้าใน Segment ใหม่, ขยาย Port Premiumization (สินค้า Innovation), ขยายช่องทางขายในต่างประเทศ (ประเทศเดิมและใหม่), ขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าในประเทศ
New Segment:
- Silver Age (นำโดย ดีนี่ Deluxe): เพิ่ม SKU (ทิชชู่เช็ดผิวผู้ใหญ่, ผลิตภัณฑ์อาบน้ำสีชมพู, แป้งทาผิว)
- Pet Parent Segment (นำโดย Lovely Tails): ผลิตภัณฑ์ซักผ้าสำหรับสัตว์เลี้ยง
- แผนเปิดตัวสินค้า Category ใหม่ (Soft Launch) ผลงานวิจัยได้รับรางวัลจากสวิตเซอร์แลนด์
Premiumization: กลุ่ม Premium Mass โต 64% (Q3/2567 ถึง Q3/2568), สัดส่วนต่อยอดขาย 7%, ยอดขาย 9 เดือน โต 41%
ความยั่งยืน: มุ่งมั่นด้าน ESG (Environment, Social, Governance)
- Environment: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% ภายในปี 2573, ลด Virgin Plastic 23% จากเป้า 20%
- Social: ได้รับรางวัล Zero Accident จากกรมแรงงาน
- Governance: CG Score ระดับ 4 ดาว
2568 Outlook:
- Launch Category ใหม่ๆ ใน 9 แบรนด์ที่มีอยู่
- Aging Population และ Pet Parents เป็นตลาดใหญ่
- ทำสินค้าดูแลสัตว์เลี้ยง Premium
International Expansion: ติดต่อ ทูตพาณิชย์, Connection เดิม, มหาวิทยาลัย ตลาดแต่ละที่มีวิธีเข้าไม่เหมือนกัน
- Middle East: เข้าไปแล้ว แต่ยังไม่ขยาย ตอนนี้ขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ แล้ว
- สินค้าไทยไปปู สินค้าโลก
- ไปจีน
- สินค้า NEO ไปมากประเทศมากขึ้น
เศรษฐกิจโลกไม่ดี แต่ สินค้าหลายตัว Growth มากกว่า 10%
Aim เป็น Single Digit ไปก่อน, High Single Digit ถึง Double Digit
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): เริ่ม นาทีที่ 43:47
- คำถาม: บริษัทมีแผนอย่างไรในการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (S&A) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น หากไม่มีมาตรการรับมือที่ชัดเจน อาจส่งผลให้อัตราการทำกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญจนถึงขั้นขาดทุนได้หรือไม่?
- คำตอบ (CFO):
- การบริหารต้นทุน: หา Second Source, Fix ราคาล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ราคาผันผวน
- การจัดการค่าใช้จ่ายในการบริหาร: ควบคุม Fixed Cost ไม่ให้เติบโตมากกว่ายอดขาย แต่ยังคง Support ค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย
- Monitor อย่างต่อเนื่อง, ชะลอการลงทุนหากยอดไม่มา
- ไม่น่าจะถึงขั้นขาดทุน
- คำตอบ (คุณแพร):
- Reformulate Product, Test หลายๆ Source ของวัตถุดิบ เพื่อ Maintain Cost และ Product Quality
- ส่ง Consumer Test สูตรที่คุม Cost กับสูตร Standard เพื่อให้ Consumer Test
- บริหารจัดการได้ ไม่เปลี่ยนแปลงไป
- Cost ของวัตถุดิบ: ภาษีน้ำหอมที่กระทบอุตสาหกรรม FMCG (Excise Tax เพิ่ม 8.8%) บริหารจัดการได้ ทำให้ Cost ไม่ได้ขึ้นถึง 8.8%
- คำตอบ (คุณเอ):
- เครื่องจักรทันสมัยมากขึ้น ช่วยลด Downtime และลดต้นทุนได้
- Innovation สำคัญ: Reformulation และ เครื่องไม้เครื่องมือ
- คำถาม: สัดส่วนรายได้จากกลุ่มแม่และเด็ก (Baby & Kids) ปรับลดลงจาก 28% เหลือ 26% ในช่วงล่าสุด สาเหตุหลักเกิดจากการแข่งขันในตลาดที่เข้มข้นขึ้น หรือมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว?
- คำตอบ (คุณแพร):
- Birth Rate ตก: กระทบ Market Overall ในกลุ่ม Baby & Kids, กระทบมากที่สุดคือ Household (น้ำยาซักผ้าเด็ก) ตลาดตก ดีนี่เป็น Market Leader ก็ตกเช่นกัน
- เศรษฐกิจไม่ดี: คน Less Out จาก Product กลุ่มนี้ ไปซื้อ Product ผู้ใหญ่ (Sensitive Skins)
- ขยาย Product mind and care ของผู้ใหญ่ (ไฟน์ไลน์), Gain จากผู้บริโภคที่ Shift มาจากของเด็ก มาสู่ของผุ้ใหญ่
- Market Share ใน Liquid Detergent ของ NEO โตขึ้น, Close Gap กับเบอร์ 1 มากขึ้น (ตอนนี้เป็นที่ 2)
- คำถาม: บริษัทเคยผ่านช่วงเวลาที่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงในลักษณะเดียวกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่? หากเคย ปัจจัยใดที่ช่วยให้ภาวะการตัดราคาเริ่มผ่อนคลายลง?
- คำตอบ (คุณเอ):
- เคยเจอมาหลายครั้งแล้ว ครั้งที่แย่สุดคือช่วงต้มยำกุ้ง
- ค่าเงินบาทเปลี่ยน ดูแลต้นทุนลำบาก
- Consumer เลือกสินค้าเบอร์ 1, 2, 3 ในตลาด สินค้าตัวเล็กๆ หรือ แบรนด์ที่ไม่ค่อยรู้จักจะไม่ซื้อ เพราะไม่แน่ใจคุณภาพ
- บริษัทที่ทำการตลาดจริงจัง และมี Brand ที่ดีน่าเชื่อถือ จะได้อานิสงส์
- ไฟน์ไลน์ ซักผ้า อันดับ 1, ซักผ้า Overall อันดับ 2, ดีนี่ อันดับ 1
- ปรับผ้านุ่มดีขึ้น
- อาบน้ำ Close Gap กับเบอร์ 1 (NEO เป็นเบอร์ 2)
- คำถาม: บริษัทมองว่ากลยุทธ์ Innovation-Led Premiumization ยังคงเหมาะสมและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวได้หรือไม่ ในบริบทปัจจุบันที่มีข้อจำกัดในการปรับขึ้นราคาขายให้สอดคล้องกับต้นทุน?
- คำตอบ (คุณเอ):
- Innovation-Led Premiumization ยังเหมาะสม, Consumer แบ่งเงินในกระเป๋า, ถ้า Personal Care ราคาแพงขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น ดูแลตัวเองได้มากขึ้น ก็ยอมลงทุน
- ทำ Innovation มานานมากแล้ว, เรียนรู้มาแล้วว่าขายได้, โตขึ้น
- ดีนี่ Deluxe โตเกินเป้าที่วางไว้ และโตเร็วมาก
- คำถาม: ใน Q3/2568 รายได้เติบโตแต่กำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากอะไร และบริษัทมีแผนบริหารจัดการต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายอย่างไร?
- คำตอบ (CFO):
- ราคาวัตถุดิบปรับสูงขึ้น ไม่สามารถทดเชยกับ Volume และราคาได้
- บริหารจัดการ: Sourcing, Fix ราคาล่วงหน้า, Formulation
- R&D ศึกษา เพื่อพัฒนาให้ต้นทุนแข่งขันได้
- ควบคุมค่าใช้จ่าย Fix ไม่ให้เติบโตตามยอดขาย, Push ให้เกิดยอดขายที่เติบโตขึ้น, ผลักดันให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้
โดยสรุป, NEO Corporate ยังคงมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่, การขยายตลาดต่างประเทศ, และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกต่างๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโตในระยะยาวและพร้อมที่จะปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป