HFT
บริษัท ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)

Oppday

ไตรมาสที่ 3 ปี 2568

สรุป OPPDAY

HFT โชว์ผลงาน Q3/2568 แม้รายได้ลด แต่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

สวัสดีครับ สวัสดีท่านนักลงทุนทุกท่านที่ติดตาม Oppday ของบริษัท โฮฟง รับเบอร์ ไทยแลนด์ จำกัด มหาชน วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม 2568 ก่อนอื่นผมขอแนะนำผู้ร่วมบรรยาย คุณรดาธร คณะอัศวพล ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน และผม โอภาส เจริญประเสริฐ ดูแลในส่วนของงานฝ่ายขาย

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

วันนี้เราจะมาอัปเดตข้อมูลเหมือนเช่นไตรมาสที่ผ่านมา โดยจะเริ่มจาก Company Introduction ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เป็นนัยยะสำคัญ ตามด้วย Sales Performance, Financial Highlight, ESG Project, CSR และสุดท้ายคือ Q&A

  • Company Introduction: โครงสร้างของ Hoofung Rubber ยังคงเดิม โดยบริษัทแม่คือ HFR (Hoofung Rubber Industry) ที่ไต้หวันมีสัดส่วน 50.42% และ Hoofung Rubber Thailand ถือหุ้น 99% ใน HFI ที่อินโดนีเซีย และ 99.99% ใน Holding
  • ประวัติบริษัท: บริษัทแม่อยู่ที่ไต้หวัน ก่อตั้งปี 1945, Hoofung Rubber Thailand ก่อตั้งปี 1987, Sales Office และ Warehouse ที่อเมริกาก่อตั้งปี 1992, Hoofung Rubber ที่จีนก่อตั้งปี 1993

Product Category: สัดส่วนยอดขายหลักคือ ยางนอกยางในสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ 58%, ยางนอกยางในสำหรับรถจักรยาน 37% และยางนอกยางในสำหรับรถอุตสาหกรรมขนาดเล็ก 5% (คิดเป็นจำนวนเงิน)

การกระจายสินค้า: บริษัทจำหน่ายสินค้าทั้งทางตรงและทางอ้อมไปทั่วโลก ใน Q3 ที่ผ่านมา มีสัดส่วนดังนี้

  1. ประเทศไทย: 35% (ยางนอกยางในรถมอเตอร์ไซค์)
  2. เอเชีย (รวมอาเซียน): 20% (ยางนอกยางในรถมอเตอร์ไซค์)
  3. ยุโรป: 36% (ยางนอกยางในรถจักรยาน ส่งให้ลูกค้าหลักที่ฝรั่งเศส อิตาลี โรมาเนีย โปรตุเกส)
  4. อเมริกา: 8% (ยาง ATV และยางรถกอล์ฟ ส่วนใหญ่เป็นลูกค้า OEM)

Sales Performance: เมื่อเทียบ Q on Q (Q3 vs Q2) ยอดขายลดลง 14.5% หรือ 97.24 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจาก

  • กลุ่มลูกค้าในยุโรปลดลงเนื่องจากเป็น Low Season (Q4 และ Q1 เป็น High Season)
  • ยอดขายยางนอกยางในรถมอเตอร์ไซค์ในไทยลดลง เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วม ทำให้ลูกค้ากังวลเรื่องการสั่งสินค้าและขนส่ง
  • ลูกค้า OEM รถมอเตอร์ไซค์ในต่างประเทศ (เช่น มาเลเซีย) ลดคำสั่งซื้อเนื่องจากมีการพัฒนาโมเดลใหม่ ทำให้คำสั่งซื้อลดลง 14.5%

เมื่อเทียบ Y on Y (Q3 ปีนี้ vs Q3 ปีก่อน) ยอดขายลดลง 25.29% หรือ 194.04 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจาก

  1. ยอดขายในตลาด Replacement ของฟิลิปปินส์ลดลง เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วม กระทบต่อการขนส่งและการจัดเก็บ และมีการแข่งขันจากสินค้าราคาถูกจากจีน
  2. ตลาด Replacement ในประเทศซบเซา เนื่องจากลูกค้าสั่งสินค้าไปตุนไว้เยอะใน Q2 และสถานการณ์น้ำท่วมและเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้คำสั่งซื้อใน Q3 ลดลง
  3. OEM ต่างประเทศลดลง เนื่องจากลูกค้ามีแผนเปลี่ยนผ่านไปสู่โมเดลใหม่

เมื่อเทียบ Y on Y 9 เดือน ยอดขายลดลง 10.69% หรือ 233.55 ล้านบาท สาเหตุคล้ายกับ 3 เดือน คือผลกระทบจากตลาดฟิลิปปินส์ และสินค้าจากจีน และการขอการรับรองเครื่องหมาย PS Mark ทำให้คำสั่งซื้อเข้ามาหลังการรับรอง

ตลาด Replacement ในประเทศก็ลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนถูกนำไปใช้ในส่วนที่จำเป็นมากกว่า

  • Q on Q เทียบตาม Product Category:
    • ยางนอกยางในรถจักรยานยนต์ลดลง 13.5%
    • ยางจักรยานลดลง 20.8%
    • ยางอุตสาหกรรมและยางรถขนาดเล็กเพิ่มขึ้น 28.89%
  • Y on Y เทียบตาม Product Category:
    • ยางนอกยางในรถมอเตอร์ไซค์ลดลง 33.08%
    • ยางนอกยางในรถจักรยานลดลง 6.21%
    • ยางนอกยางในรถอุตสาหกรรมขนาดเล็กลดลง 24.32%
  • 9 เดือน เทียบตาม Product Category:
    • ยางนอกยางในรถมอเตอร์ไซค์ลดลง 19.5%
    • ยางนอกยางในรถจักรยานเพิ่มขึ้น 7.1%
    • ยางรถขนาดเล็กและยางรถอุตสาหกรรมลดลง 5.44%

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

ไม่มีการระบุโอกาสทางธุรกิจที่ชัดเจนในการนำเสนอครั้งนี้

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

ความเสี่ยงหลักที่บริษัทกำลังเผชิญคือ สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการแข่งขันจากสินค้าราคาถูก

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

บริษัทมีแนวทางแก้ไขปัญหาดังนี้:

  • Hedging: ใช้สกุลเงิน USD ในการซื้อวัตถุดิบ เพื่อลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
  • Monitoring: ประเมินและวิเคราะห์ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

Outlook ใน Q4: ปกติแล้ว Q4 จะเป็นช่วง High Season ของธุรกิจยาง โดยเฉพาะในตลาดยุโรปที่มีเทศกาลต่างๆ ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในส่วนของประเทศไทยและอาเซียน หลังผ่านฤดูมรสุมไป ก็จะเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ทำให้มีรายได้จากการเกษตรเข้ามา ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจยานยนต์โดยรวม

ESG Project:

  • ลด CO2 Emission: ลดลงไปแล้ว 13,024 ตัน CO2 หรือ 0.5963 ตัน CO2 ต่อตันการผลิต (ลดลง 3.9%)
  • ใช้พลังงานหมุนเวียน: ตั้งเป้า RE100 ในปี 2024
  • Recycle Materials: เริ่มศึกษาและนำวัตถุดิบรีไซเคิลมาใช้ในการผลิต เช่น Recycle Rubber, Recycle Steel, Recycle Nylon, Recycle Carbon และ Bio Silica
  • Solar Cell: ติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคาโรงงาน 1 และ 2 สามารถ Generate ไฟฟ้ามาใช้ได้ 2,656 เมกะวัตต์ ลด CO2 ลงไปได้ 1,182 ตัน CO2 (เป้าปีนี้ 2,364 ตัน CO2 หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 3,500 ต้น)
  • ได้รับการรับรอง ISO 50001 (การจัดการด้านพลังงาน) และ ISO 14064 (การลดการปล่อย CO2)
  • จัดทำ Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ (ISO 14067)
  • ยาง FSC: ผลิตยางนอกรถจักรยานที่ส่งไปยุโรปโดยใช้ยางธรรมชาติที่เป็นยาง FSC (รับรองการจัดการด้านป่าไม้อย่างยั่งยืน)
  • EUTR: โฟกัสเรื่อง EUTR (European Union Timber Regulation) การสอบกลับไปยังสวนยาง การทำข้อมูล Plantation และ Geolocation และข้อมูล DDR/DTS

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [นาทีที่ 32:00]

คำถาม: รายได้และกำไรขั้นต้นใน Q3 ลดลงมาก เกิดจากสาเหตุใด และจากสินค้าใดเป็นหลัก และบริษัทมีแนวทางแก้ไขอย่างไร?

คำตอบ: สาเหตุหลักมาจากยอดขายยางนอกยางในรถมอเตอร์ไซค์และรถจักรยานลดลง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ และ Low Season ในยุโรป รวมถึงผลกระทบจาก Exchange Rate

  • แนวทางแก้ไขคือ:
    • Hedging: ใช้สกุลเงิน USD ในการซื้อวัตถุดิบ
    • Monitoring: ประเมินและวิเคราะห์ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

คำถาม: Outlook Revenue ใน Q4 จะเป็นอย่างไร?

คำตอบ: ปกติ Q4 จะเป็นช่วง High Season โดยเฉพาะในตลาดยุโรปที่มีเทศกาลต่างๆ และในประเทศไทยและอาเซียน หลังผ่านฤดูมรสุมไป ก็จะเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ทำให้มีรายได้จากการเกษตรเข้ามา คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี

สรุป: แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2568 จะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ HFT ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับ ESG และการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป