สรุป Oppday หุ้น KTIS: วิเคราะห์ผลประกอบการปี 2568 และแนวโน้มอนาคต

P/E -100.00 YIELD 0.00 ราคา 1.99 (0.00%)

สรุป Oppday หุ้น KTIS: วิเคราะห์ผลประกอบการปี 2568 และแนวโน้มอนาคต

สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับท่านผู้ถือหุ้น นักลงทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน เข้าสู่งาน Opportunity Day ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยค่ะ โดยในครั้งนี้จะเป็นการแถลงผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 ของบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรค่ะ

ก่อนที่เราจะเริ่มการแถลงผลประกอบการในครั้งนี้ ขอแนะนำผู้บริหารระดับสูงของกลุ่ม KTIS ที่ให้เกียรติร่วมแถลงผลประกอบการและตอบคำถามในครั้งนี้ค่ะ

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

กลุ่มบริษัท KTIS มีรายได้รวมครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 6,848 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่มีรายได้รวม 7,067 ล้านบาท รายได้หลักยังคงมาจากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 6,421 ล้านบาท รายได้จากผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลอยู่ที่ 25 ล้านบาท มีรายได้อื่นๆ 376 ล้านบาท และรายได้ทางการเงิน 25 ล้านบาท

ค่าใช้จ่ายรวมในครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 8,102 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ 7,560 ล้านบาท ต้นทุนขายยังคงเป็นค่าใช้จ่ายหลักอยู่ที่ 6,264 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารอยู่ที่ 1,029 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายทางด้านภาษีเงินได้อยู่ที่ 810 ล้านบาท

จากรายได้และรายจ่ายดังกล่าว ส่งผลให้ผลประกอบการในครึ่งปีแรกขาดทุน 1,255 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ขาดทุน 493 ล้านบาท

สัดส่วนรายได้จากการขายและการให้บริการในปี 2568 ธุรกิจน้ำตาลทรายยังคงมีสัดส่วน 75% ใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ 75.1% ธุรกิจเยื่อกระดาษจากชานอ้อยเติบโตขึ้นเล็กน้อยจาก 3.2% ในปี 2567 เป็น 4.6% ในปี 2568 ธุรกิจเอทานอลปรับตัวลดลงจาก 7.6% ในปี 2567 เหลือ 2.1% ในปี 2568 ธุรกิจไฟฟ้าชีวมวลปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 9.8% และมีรายได้อื่นๆ 8.6%

กำไรขั้นต้นในส่วนของธุรกิจน้ำตาลทรายในครึ่งปีแรกของปี 2568 ติดลบ 80 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่มีกำไร 416 ล้านบาท สำหรับกำไรขั้นต้นในสายธุรกิจชีวภาพมีกำไร 238 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่มีกำไร 97 ล้านบาท

อัตรากำไรขั้นต้นในส่วนของธุรกิจน้ำตาลทรายปรับตัวลดลงจาก 8.3% ในปี 2567 ติดลบ 1.7% ในปี 2568 อัตรากำไรขั้นต้นสายธุรกิจชีวภาพปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 5.8% ในปี 2567 เป็น 14.8% ในปี 2568

รายได้จากการขายน้ำตาลทรายและกากน้ำตาลในปี 2568 มีรายได้รวม 4,814 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ 5,024 ล้านบาท รายได้จากการขายน้ำตาลทรายภายในประเทศอยู่ที่ 2,124 ล้านบาท ในปี 2568 รายได้จากการขายน้ำตาลทรายต่างประเทศอยู่ที่ 2,260 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายกากน้ำตาลอยู่ที่ 430 ล้านบาท

ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านตันในปี 2566/67 เป็น 6.4 ล้านตันในปี 2567/68 ปริมาณน้ำตาลทรายเพิ่มขึ้นจาก 5.1 ล้านกระสอบเป็น 6.7 ล้านกระสอบ ปริมาณกากน้ำตาลเพิ่มขึ้นจาก 2 แสนตันเป็น 3 แสนตัน

ปริมาณการขายในประเทศอยู่ที่ 101,000 ตัน เทียบกับปี 2566/67 ที่ 120,000 ตัน ปริมาณการขายต่างประเทศอยู่ที่ 142,000 ตัน เทียบกับปี 2567 ที่ 109,000 ตัน

ราคาขายต่อหน่วยภายในประเทศอยู่ที่ 21,087 บาทต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 ที่ 20,361 บาทต่อตัน ราคาต่อหน่วยสำหรับการขายน้ำตาลต่างประเทศอยู่ที่ 15,891 บาทต่อตัน ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากปี 2567 ที่ 19,166 บาทต่อตัน

รายได้จากธุรกิจเยื่อกระดาษมีรายได้รวม 293 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 211 ล้านบาท มาจากรายได้จากการขายภายในประเทศ 121 ล้านบาท และรายได้จากการขายต่างประเทศ 171 ล้านบาท ปริมาณการขายในประเทศอยู่ที่ 5,246 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 2,997 ตัน ปริมาณการขายส่งออกอยู่ที่ 7,078 ตัน

รายได้จากธุรกิจเอทานอลอยู่ที่ 137 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ 511 ล้านบาท ปริมาณการขายอยู่ที่ 5.7 ล้านลิตร เทียบกับปี 2567 ที่ 16.9 ล้านลิตร ราคาขายต่อหน่วยลดลงจาก 30.25 บาทต่อลิตร เป็น 23.96 บาทต่อลิตร

รายได้รวมของปี 2568 จากธุรกิจไฟฟ้าชีวมวลอยู่ที่ 627 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ 464 ล้านบาท ปริมาณการขายอยู่ที่ 185.67 ล้านหน่วย เทียบกับปี 2567 ที่ 133.8 ล้านหน่วย ราคาขายปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 3.38 บาทต่อหน่วย

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

ปัจจัยบวกของอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายยังคงเป็นเรื่องของกองทุนที่มีการขายสุทธิลดลงจาก 79,000 ล็อต เหลือ 45,000 ล็อต และค่าเงินเรียลของบราซิลที่มีการปรับค่าเงินขึ้นไป

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

ปัจจัยลบยังคงเป็นเรื่องของจีนที่ยังระงับการนำเข้าน้ำเชื่อมและพรีมิกซ์จากไทย ทำให้ความต้องการซื้อน้ำตาลรีไฟน์ของโรงงานในเขต EPZ ของไทยลดลงอย่างมาก

ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในช่วง 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่จูงใจให้ทางบราซิลเองปรับสัดส่วนการผลิตน้ำตาลลดลง

ราคาน้ำตาลตลาดนิวยอร์ก Number 11 ในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่พฤษภาคมปี 2563 ราคาจะวิ่งอยู่แถวๆ 9 เซนต์ มีการปรับตัวขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยขึ้นไปพีคสุดในเดือนกันยายนปี 2566 ที่ 28 เซนต์ต่อปอนด์ แล้วก็มีการอ่อนค่าปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงปัจจุบันก็อยู่ประมาณ 18-19 เซนต์ต่อปอนด์

หากเรามองย้อนหลังเพียงแค่ 2 ปีให้แคบเข้า ตั้งแต่พฤษภาคมปี 2566 ก็เห็นว่าราคายังคงอยู่แถวๆ ประมาณ 27 เซนต์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นพีคสุดในเดือนกันยายน-ตุลาคม ปี 2566 ขึ้นไปแตะ 28 เซนต์ แล้วก็อ่อนค่าลงมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงปัจจุบันก็อยู่แถวๆ 18-19 เซนต์ต่อปอนด์

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

ไม่มีข้อมูลในส่วนนี้

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

ในส่วนของการเปรียบเทียบค่าเงินเรียลบราซิลเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและราคาน้ำตาลในตลาดโลก จะเห็นว่าในส่วนเส้นสีน้ำเงินจะเป็นในส่วนของราคาน้ำตาล ส่วนเส้นสีแดงจะเป็นเรื่องของค่าเงินเรียลของบราซิล ในขณะที่ราคาน้ำตาลมีการปรับตัวอ่อนค่าลงมา เราก็จะเห็นว่าราคาน้ำตาลมาอยู่แถวๆ ประมาณ 18 เซนต์ต่อปอนด์ ในเดือนเมษายนปี 2568 ค่าเงินเรียลก็ยังคงอยู่ใกล้ๆ 6 เรียลต่อดอลลาร์ ก็ยังจูงใจให้บราซิลยังผลิตและส่งออกน้ำตาลทรายมากกว่า สัดส่วนการผลิตน้ำตาลทรายก็ยังคงมากกว่าสัดส่วนในการผลิตเอทานอล

สำหรับราคากระดาษเยื่อชานอ้อย ตั้งแต่แจน 2563 ราคาก็วิ่งอยู่ประมาณ 860-870 เหรียญต่อตัน คงอยู่แถวๆ 860-870 มาพักใหญ่ๆ จนถึงประมาณออกัสปี 2563 ราคามีการปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรง ลงเหลือประมาณ 630 ดอลลาร์ต่อตัน คงอยู่แถวๆ ระดับ 620-630 มาตลอด จนในปัจจุบันราคาก็ยังคงอยู่แถวๆ 620 ดอลลาร์ต่อตัน

ปริมาณการใช้เอทานอล มองย้อนหลังไป 5 ปี ตั้งแต่ปี 2564 ถึงปี 2568 ก็เห็นว่าราคาก็ยังเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านลิตร ก็คิดว่าปี 2568 เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่เดือน คาดการณ์ว่าเฉลี่ยทั้งปี 2568 ก็น่าจะอยู่แถวๆ 3 ล้านกว่าลิตร

ความคืบหน้าโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ แบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกเป็นกระบวนการผลิตเอทานอล โดยทำการหีบอ้อยจบไปแล้วประมาณ 4 แสนกว่าตัน แล้วก็ได้นำน้ำเชื่อมมาดำเนินการผลิตเอทานอล แล้วก็ส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตามเป้าหมาย นอกจากนั้นในเฟส 1 ก็ยังได้ทำการขายไฟให้กับทาง EGAT โดยเริ่มขายไฟตั้งแต่ต้นปี แล้วก็ขณะนี้ก็ยังขายอยู่ ซึ่งก็สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้

สำหรับเฟส 2 เป็นการลงทุนพวก Infrastructure ต่างๆ รองรับการมาลงทุนของ Nature Works ในการลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในเรื่องของระบบ Waste Water Treatment ในส่วนของ Steam System เรื่องของ Electric เรื่องของ Water Treatment เรื่องของ รีเมลชูการ์ เพื่อ Support ให้กับทาง Nature Works การดำเนินงานทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน ขณะนี้ก็อยู่ในระหว่าง COD

ความคืบหน้าของโครงการบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อย ภายใต้การดำเนินงานของ EPAC ซึ่งเราได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องจักร 50 เครื่อง เครื่องละ 1 ตัน โดยมีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน ได้ดำเนินการติดตั้งไปเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ก็อยู่ในระหว่างการปรับจูนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับทางด้านตลาดก็มีลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศก็ให้ความสนใจเข้ามาเยี่ยมชม EPAC เป็นจำนวนมาก โดยโรงงาน EPAC ของเราสามารถที่จะผลิตสินค้านะครับ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ไม่ใช้สารกันซึม Pfast นะครับ เป็น Pfast Free นะครับ ซึ่งเราก็สามารถที่จะผลิตได้ทั้งในส่วนที่ใช้สารกันซึมที่เป็น Pfast แล้วก็เป็น Pfast Free นะครับ กลุ่มลูกค้าที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันซึมเป็น Pfast Free ก็คงได้แก่ กลุ่มประเทศ EU นะครับ ทางสหรัฐอเมริกาและแคนาดานะครับสำหรับการจำหน่ายในประเทศนะครับเราจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของชานเมย์ ก็มีการจำหน่ายทั้งทั้งปีและส่งในระดับในช่องทางที่หลากหลายนะครับไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์นะครับเช่นShopee Lazada Line Official Tiktok รวมถึง Officemate นะครับ

ภาชนะเยื่อจากชานอ้อยของเราทำจากเยื่อชานอ้อย 100% นะครับ เป็น Virgin Peous Virgin Bacus Pa นะครับ 100% นะครับ จุดเด่นก็คือสามารถอุ่นอาหารโดยเข้าไมโครเวฟได้นะครับสามารถทนอุณหภูมิได้ถึง 160 องศานะครับสามารถอาหารร้อนและเย็นโดยไม่รั่วซึมนะครับสามารถย่อยสลายคืนสู่ธรรมชาติได้ภายในระยะเวลา 45 วันนะครับช่องทางการติดต่อและสั่งซื้อทางออนไลน์นะครับก็อย่างที่เรียนไปแล้วนะครับไม่ว่าจะเป็นช่องทางทาง Shopee Lazada Tiktok นะครับรวมถึง Line Official นะครับแล้วก็ Officemate นะครับ

สำหรับหลอดกระดาษจากชานอ้อย หลอดกระดาษจากชานอ้อยช่องทางการจำหน่าย ช่องทางการจำหน่ายนะครับก็เช่นเดียวกับภาชนะบรรจุจากชานอ้อยนะครับก็เป็นช่องทางการจำหน่ายจากทางออนไลน์นะครับไม่ว่าจะเป็น Shopee Lazada Line Officemate นะครับ

กลุ่ม KTIS ได้รับมอบรางวัล BCG Awards นะครับจากโครงการอุตสาหกรรม BCG ต้นแบบนะครับ โดยกลุ่ม KTIS ได้เข้าโครงการอุตสาหกรรม BCG ต้นแบบนะครับ แล้วก็ได้รับการคัดเลือกนะครับให้ได้รับมอบรางวัล BCG Awards นะครับที่ผ่านมา

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): เริ่ม นาทีที่ 41.50 ]

คำถาม: อยากทราบว่าอ้อยและน้ำตาลทรายที่ได้ผลผลิตมากขึ้นในปีนี้ จะส่งผลดีต่อกลุ่ม KTIS ยังไงค่ะ

คำตอบ: ในส่วนของปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นในปี 2567/68 ที่เปิดหีบปิดหีบไปแล้ว เราจะเห็นว่ามีปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านขึ้นมาเป็น 6 ล้านกว่าตัน ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านกว่าตัน หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ประมาณ 30% ซึ่งต้องถือว่าสัดส่วนการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปริมาณการเพิ่มขึ้นของทั้งประเทศ สัดส่วนการเพิ่มขึ้นของกลุ่มเราก็มากกว่า

ผลดีที่ตามมาก็คือเรื่องแรกก็จะทำให้เรามีตัวผลิตภัณฑ์คือน้ำตาลมากขึ้น มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของผลพลอยได้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณชานอ้อยที่เหลือมากขึ้น ก็ส่งผลทำให้เราสามารถที่จะขายไฟ ทำให้ธุรกิจไฟฟ้าชีวมวลเราเติบโตขึ้นนะครับ มีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น ถ้าเทียบกับปีที่ผ่านมานะครับ แล้วก็คาดการณ์ว่าในปี 2568 เราน่าจะขายไฟได้ยาวขึ้นหรือนานขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของตัวโมลาสหรือกากน้ำตาล ในส่วนที่ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้น ก็ส่งผลทำให้พวกผลพลอยได้ต่างๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้นตามมาด้วยนะครับ ก็จะนำมาซึ่งรายได้จากการจำหน่ายกากน้ำตาลนะครับ

คำถาม: แล้วคาดว่าฤดูฤดูหีบอ้อยปี 2568/2569 ผลผลิตผลผลิตของอ้อยยังคงดีต่อเนื่องอยู่ไหมคะ

คำตอบ: ณ ขณะนี้เราคาดการณ์ว่าในปี 2568/2569 ปี 2568/2569 หมายความว่าเป็นปีที่เราจะเริ่มทำการเปิดหีบที่จะผลิตน้ำตาลประมาณสักธันวาคมปี 2568 แล้วก็เลื่มไปถึงประมาณปลายๆมีนาคมในปี 2569 คาดการณ์ว่าผลผลิตของกลุ่ม KTIS เราคงเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมาก ด้วยเหตุผลหรือปัจจัย 2 ประการ ประการที่ 1 วันเนี้ยเรามีการส่งเสริมเกษตรกรชาวไร่อ้อยนะครับให้เพิ่มพื้นที่การปลูกอ้อยมากขึ้นนะครับโดยในปีนี้เราคาดว่าเราน่าจะมีพื้นที่ปลูกอ้อยใหม่ที่เพิ่มขึ้นนะครับรวมทั้งกลุ่มคาดว่าประมาณอยู่ที่ประมาณสัก 200,000 กว่าไร่นะครับ 200,000 กว่าไร่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เรามีปริมาณอ้อยหรือวัตถุดิบเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งก็ต้องเรียนว่าปีนี้ฝนก็มาเร็วนะครับแล้วก็ณขณะนี้นี่เนี่ยฝนก็ยังตกอย่างต่อเนื่องนะครับก็คาดการณ์ว่าปริมาณตันต่อไร่ปีนี้ก็น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมานะครับเพราะฉะนั้นเนี่ยด้วย 2 ปัจจัยหลักนะครับก็จึงทำให้คาดการณ์ว่าในปี 2568/2569 เนี่ยปริมาณอ้อยของกลุ่ม KTIS คงเพิ่มขึ้นกว่าปี 2567/2568 ที่ผ่านมาค่อนข้างมากครับ

คำถาม: แล้วในส่วนของราคาน้ำตาลในตลาดโลก คาดการณ์แนวโน้มครึ่งปีหลังของปี 2568 และปีหน้าปี 2569 เป็นยังไงบ้างคะ

คำตอบ: ก็ในในตลาดโลกนะครับก็ต้องบอกว่าเรื่องแรกต้องเรียนงี้ก่อนนะครับว่าวันเนี้ยเวลาที่เราเราทำราคานะครับในส่วนที่ขายส่งออกไปยังต่างประเทศนะครับทำราคาภายใต้ตลาดนิวยอร์ก Number 11 สำหรับน้ำตาลทรายดิบเนี่ยนะครับ เรื่องแรกเนี่ยคือเราทำราคาโดยอิงราคาของ อนท. นะครับ เพราะบริษัทอ้อยน้ำตาลไทยเนี่ยเป็นผู้ทำราคาเพื่อไปใช้ในการคำนวณราคาอ้อยนะครับเพราะฉะนั้นเวลาที่เราขายหรือทำราคาเนี่ยเราก็พยายามที่จะอิงนะครับพยายามที่จะอิงอนท.เพื่อนะครับเพื่อให้การขายของเราการทำราคาของเราเนี่ยไม่แพ้นะครับไม่แพ้ทาง อนท.นะครับโดยคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังเนี่ยนะครับราคาก็ยังยังน่าจะมีมีการปรับตัวขึ้นไปบ้างเล็กน้อยนะครับผมคิดว่าราคาจริงๆก็คงอยู่แถวๆประมาณ18-20 เซนต์ต่อปอนด์นะครับก็น่าจะวิ่งอยู่แถวๆนี้

คำถาม: ขอสอบถามในเรื่องของส่วนของไฟฟ้าชีวมวลบ้างนะคะก็คืออย่างที่ทราบว่ามีข่าวที่ว่าทางรัฐบาลนะคะพยายามควบคุมและลดค่าไฟฟ้าประเด็นนี้จะมีกระทบกับรายได้ของธุรกิจผลิตไฟฟ้าชีวมวลไหมคะ

คำตอบ: ต้องเรียนงี้ครับว่าไฟฟ้าชีวมวลเนี่ยของเราประเภทของการขายแล้วกันนะครับเราจะมีอยู่ 2 ประเภท ประเภทที่ 1 เนี่ยเราขายด้วยระบบที่เรียกว่าเป็น Feed enter lease นะครับ Feed enter lease เนี่ยมันเป็นการขายโดยที่มีการ Fix Price หรือ Fix ราคาไว้แล้วนะครับอยู่ที่ประมาณ 4.25 สตางค์ต่อหน่วยนะครับ ส่วนที่ 2 เนี่ยนะครับเป็นการขายประเภทที่เรียกว่าเป็นการขายแบบ แอดเดอร์ นะครับซึ่งมีแอดเดอร์แอดเดอร์คือเป็นพรีเมี่ยมเนี่ยนะครับเป็นพรีเมี่ยมที่ทางภาครัฐให้สำหรับไฟฟ้าชีวมวลประมาณสัก 30 สตางค์นะครับ วันเนี้ยไอ้ไอ้แอดเดอร์เราทั้งหมดเนี่ยถือว่าเราได้ใช้ใช้ครบไปหมดแล้วนะครับแต่ก็ยังคาดการณ์ว่าราคไฟฟ้าปีนี้ก็ยังคงอยู่ประมาณสัก 3 บาทกว่านะครับก็ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมานะครับ

คำถาม: แล้วในส่วนของบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย 100% นี่การเติบโตของธุรกิจยังเป็นไปตามแผนอยู่ไหมคะ

คำตอบ: การเติบโตทางธุรกิจเนี่ยต้องถือว่ายังยังคงเป็นไปตามแผนนะครับแล้วก็มีปัจจัยบวกในเรื่องของภาษีนะครับที่ทางทางทางอเมริกานะครับมีการปรับขึ้นภาษีนะครับจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่แล้วกันนะครับก็คือประเทศจีนนะครับซึ่งประเทศจีนเนี่ยก็จะได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างมากนะครับเพราะว่าทางอเมริกาเองก็มีการปรับขึ้นภาษีไปค่อนข้างสูงมากนะครับเช่นเดียวกันของไทยก็มีปรับนะครับแต่ว่าสัดส่วนของการปรับภาษีที่ขึ้นมาเนี่ยเมื่อเปรียบเทียบกับจีนเปรียบเทียบกับทางเวียดนามนะครับของเราถือว่าเราปรับน้อยกว่าทั้งสองประเทศนี้ค่อนข้างมากนะครับเพราะฉะนั้นก็ยังเป็นโอกาสนะครับยังเป็นโอกาสเพราะว่าอเมริกาก็เป็นเป็นลูกค้ารายใหญ่นะครับที่ใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนะครับข้อดีข้อนึงก็เราเป็นโรงงานที่มีโรงงานเยื่อกระดาษนะครับของเราเองอยู่แล้วนะครับเพราะฉะนั้นเนี่ยวัตถุดิบที่นำมาผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมเนี่ยเราจึงสามารถที่จะใช้เป็นตัว Bacas Pa 100% หรือว่าใช้เยื่อกระดาษจากชานอ้อย 100% นะครับโดยที่ไม่มีการนำนำเยื่อชนิดอื่นเข้าไปมิกโดยที่ไม่มีการรีไซเคิลเข้าไปมิกนะครับเพราะฉะนั้นเนี่ยในเรื่องคุณภาพเนี่ยเราค่อนข้างที่จะได้เปรียบนะครับสรุปง่ายๆคือวันเนี้ยสิ่งที่เราได้เปรียบคือ 1 เราได้เปรียบในเรื่องคุณภาพที่เราดีกว่า 2 คือเราได้เรายังคงได้เปรียบในเรื่องของอัตราภาษีนะครับที่อเมริกาคิดกับประเทศไทยก็ยังถูกกว่านะครับประเทศอื่นซึ่งเป็นผู้ผลิตและเป็นผู้ที่ซัพพลายในในธุรกิจเดียวกัน

คำถาม: ทางผู้บริหารมีแนวโน้มทางการตลาดของบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยเป็นอย่างไรบ้างคะ

คำตอบ: วันนี้จริงๆเราแบ่งตลาดเป็น 2 ส่วนนะครับส่วนที่ 1 เนี่ยก็เป็นเป็นตลาดในประเทศนะครับกับส่วนที่ 2 ก็เป็นตลาดต่างประเทศนะครับในส่วนตลาดในประเทศเนี่ยวันนี้ก็ต้องบอกว่านอกจากเราขายขายส่งแล้วเนี่ยนะครับเราก็ดำเนินการขายปลีกนะช่องทางออนไลน์ต่างๆดังนี้ได้กล่าวไปแล้วนะครับวันนี้เราก็เริ่มที่จะนำตัวสินค้าเข้าสู่ช่องทางช่องทางเดรดนะครับนะซึ่งวันนี้ก็ต้องถือว่าลูกค้ารายใหญ่รายนึงเนี่ยที่เพิ่งดิวเราไปนะครับเพิ่งจบเนี่ยนะครับแล้วก็เพิ่งมีออเดอร์แรกมาก็คือกลุ่ม CP นะครับโดยเราคาดหวังว่ากลุ่ม CP เนี่ยน่าจะทำตลาดในช่องทางเดรดให้เราเติบโตมากยิ่งขึ้นนะครับอีกส่วนหนึ่งเนี่ยนะครับก็ในส่วนของตัว Officemate เนี่ยนะครับนอกจากเราขายผ่านระบบออนไลน์แล้วเนี่ยเราก็ได้นำเข้าไปวางวางที่เชลฟ์ของเขานะครับอีกส่วนหนึ่งวันเนี้ยเราก็เตรียมที่จะเข้าเข้าไปเจาะตลาดในส่วนที่เป็นของของทางภาครัฐนะครับรวมถึงตลาดที่เป็นโรงพยาบาลต่างๆนะครับตลาดใหญ่วันนี้ยังคงอยู่ที่การส่งออกไปยังต่างประเทศนะครับก็ต้องถือว่าอย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่าเราได้เปรียบในเรื่องของคุณภาพได้เปรียบในเรื่องของภาษีนะครับตลาดต่างประเทศตลาดใหญ่ก็ยังคงเป็นอเมริกานะครับยังคงเป็นอเมริกาแล้วก็คงเป็นแถบประเทศยุโรปนะครับยังคงเป็นตลาดใหญ่นะครับก็ยังต้องเรียนว่าเรายังได้เปรียบนะครับแล้วก็วันนี้จริงๆก็ต้องถือว่ามีลูกค่อนข้างมากนะครับที่เข้ามาติดต่อแล้วก็เข้ามาสั่งซื้อจากเราเพิ่มเติมขึ้นอยู่เรื่อยๆนะครับ

คำถาม: ในส่วนของครึ่งปีหลังนะคะของปี 2568 รายได้จากธุรกิจใดที่จะมาเป็นรายได้หลักค่ะ แล้วก็มีปัจจัยอะไรบ้างค่ะ

คำตอบ: ในในส่วนรายได้รายได้ที่จะเป็นรายได้หลักที่จะเข้ามาในครึ่งปีหลังเนี่ยนะครับก็ต้องเรียนว่าส่วนแรกเนี่ยก็คงเป็นรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายนะครับทั้งในประเทศและต่างประเทศนะครับเพราะว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเนี่ยเรายังมีตัว inventory ตัวสินค้าคงเหลืออยู่ค่อนข้างมากนะครับในขณะเดียวกันเนี่ยก็ยังอยู่ระหว่างการแปรสภาพน้ำตาลทรายดิบมาเป็นน้ำตาลน้ำตาลรีไฟน์นะครับเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้านะครับเพราะฉะนั้นเนี่ยครึ่งปีหลังรายได้หลักเนี่ยก็ยังคงมาจากน้ำตาลนะครับ ส่วนที่ 2 เนี่ยรายได้หลักก็คงมาจากเรื่องการจำหน่ายไฟฟ้านะครับจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าชีวมวลนะครับซึ่งปีนี้เราคาดการณ์ว่าเราน่าจะขายไฟได้ไปจนถึงกันยายนนะครับนะซึ่งถ้าขายไฟได้ถึงกันยายนก็หมายความว่าเราขายไฟได้ครึ่งปีหลังได้ได้ครบทั้งครึ่งปีนะครับอีกส่วนหนึ่งก็คงเป็นในเรื่องของธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนะครับเพราะว่าวันนี้เองก็มีลูกค้าที่ความสนใจสั่งออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่องนะครับแล้วก็ทิศทางต่างๆก็เติบโตไปในทางที่ดีนะครับ

คำถาม: ทางบริษัทจะมีการลงทุนในโครงการอื่นๆ เพิ่มเติมไหมคะ

คำตอบ: วันนี้ต้องเรียนว่าเราคงอยู่ในช่วงที่ปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ นะครับในในธุรกิจเดิมที่มีอยู่เป็นหลักมากกว่านะครับส่วนเรื่องการลงทุนใหม่ๆเนี่ยก็เป็นเป็นอยู่ อยู่ในช่วงการศึกษาโครงการนะครับนะอยู่ในช่วงการศึกษาโครงการต่างๆ นะครับ ยังยังคงไม่ถึงขั้นที่จะใส่เม็ดเงินในการลงทุนไปนะครับ อยู่ในช่วงศึกษาโครงการนะครับ

สรุปได้ว่า KTIS ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกหลายประการ เช่น ราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่ผันผวน และมาตรการควบคุมราคาไฟฟ้าของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและขยายตลาดบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต นอกจากนี้ KTIS ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมเกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อเพิ่มปริมาณวัตถุดิบและคุณภาพของผลผลิต

**คำถามที่น่าสนใจเพิ่มเติม:**
  1. แนวโน้มอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมชีวภาพ
  2. ความคืบหน้าโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์
  3. ความคืบหน้าโครงการบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อยภายใต้การดำเนินงานของ EPAC
  4. กลุ่ม KTIS ได้รับมอบรางวัล BCG Award จากโครงการอุตสาหกรรม BCG ต้นแบบ

โพสต์ล่าสุด