บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
MFEC เผยกลยุทธ์ปี 2568: เน้น AI, ขยายฐานลูกค้า, และตั้งเป้าเติบโต 15%
P/E 10.13 YIELD 10.00 ราคา 5.00 (0.00%)โอเคครับ นี่คือสรุปเนื้อหาการประชุม Oppday ของ MFEC ไตรมาส 1 ปี 2568 ตามโครงสร้างที่คุณกำหนดครับ
MFEC เผยกลยุทธ์ปี 2568: เน้น AI, ขยายฐานลูกค้า, และตั้งเป้าเติบโต 15%
- **1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):**
MFEC เปิดบริษัทมาตั้งแต่ปี 2540 ประมาณ 27-28 ปี เริ่มจากธุรกิจซื้อมาขายไปด้านไอทีครบวงจร โดยโฟกัสที่ตลาดลูกค้า Enterprise ขนาดใหญ่
MFEC เปิดบริษัทมาตั้งแต่ปี 1997 ประมาณ 27-28 ปี โดยเริ่มจากธุรกิจซื้อมาขายไปด้านไอทีครบวงจร โดยโฟกัสที่ตลาดลูกค้า Enterprise ขนาดใหญ่
ท็อปไลน์ของบริษัทลดลง 12% แต่เป็นการตั้งใจปรับโครงสร้างรายได้ในการให้บริการคลาวด์ โดยลูกค้าสามารถลดต้นทุนในการใช้คลาวด์ได้
บริษัทมี GP ที่ได้รับจากคลาวด์ improve ขึ้น ทำให้ GP ของบริษัทโดยรวม improve ขึ้นด้วย
GP percentage ไตรมาส 1 ปีปัจจุบันอยู่ที่ 16.96% improve ขึ้นมา 1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว
Operating expense ของบริษัทลดลงมากถึง 15% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
Net profit ประจำไตรมาสที่ 1 ของปีปัจจุบันเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมากถึง 27%
Net profit ในไตรมาสที่ 1 60 ล้านบาท เป็น Net profit ที่รายงานสูงที่สุดเมื่อเทียบในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาเฉพาะไตรมาสที่ 1
- **2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):**
ขยายงานและมีพนักงานเพิ่มขึ้น ปัจจุบันทั้งกรุ๊ป MFEC มีพนักงานอยู่ราวๆ 1,500 คน
เทคโนโลยี partner เพิ่มขึ้นมากถึง 90 ราย ลูกค้า 80% เป็นองค์กรขนาดใหญ่และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
เน้น 3 industry หลัก: Banking, Telecom, และกลุ่มพลังงาน
SPB (Special Partner Business) คือสัญญาที่เป็นพวกสัญญาระยะยาว เช่น IT manage service outsource หรือ Security Operation Center
การลงทุนผ่าน SGV (Synergy Group Venture) เพื่อขยายฐานลูกค้าและจับตลาดที่แตกต่างออกไป
การจัดงาน MFEC Inspire ซึ่งเป็นงานโชว์เคสเทคโนโลยีของ MFEC ได้ generate pipeline ให้บริษัทร่วมประมาณ 5-600 ล้านบาท
การลงทุนในบริษัท Nerf ที่ทำทางด้าน ERP ด้วย Open Source เพื่อช่วยลดต้นทุนทางด้านไอทีให้กับลูกค้า
- **3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):**
นโยบาย Tariff ของ Trump ที่อาจกระทบ GDP ของไทย
การลดดอกเบี้ยนโยบายที่อาจส่งผลให้ธุรกิจ Bank มีผลประกอบการลดลง ซึ่ง Bank เป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของ MFEC
การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด
- **4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):**
ให้ sale โฟกัสจับตาและระมัดระวังสถานการณ์อย่างเต็มที่
กระชับและระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่าย
ให้ priority รองกับการรับคนเพิ่ม เทียบกับการ rotate ภายในหรือการ upskill คนเก่า
ควบคุมต้นทุนและเร่งผลัดใบ resource ที่ไม่ fit
- **5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):**
ตุน backlog และรักษา growth อยู่ที่ 15%
รวมกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ data มาเป็น Data Wise และรวมกลุ่ม Infrastructure เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพรวมการบริการ
พยายามขยายฐานลูกค้าไปยังลูกค้าขนาดกลาง
โฟกัสกับเรื่อง AI และทำให้ลูกค้าใช้ AI ได้โดยที่ข้อมูลไม่รั่วไหล
ยังคงหาบริษัทที่จะ invest ต่อ
- **6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [01:08:38]**
- **คำถาม: บริษัทมีความกังวลในด้านใดบ้างใน 1-3 ปีข้างหน้า และมีแผนรับมืออย่างไร**
- **คำตอบ:** ความพารานอยจะทำให้เรา survive มองไปข้างหน้าถึงผลกระทบและความเสี่ยงต่างๆ เช่น นโยบาย Tariff ของ Trump ที่กระทบ GDP ของไทย การลดดอกเบี้ยนโยบายที่อาจส่งผลต่อผลประกอบการของ Bank ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้น มีการเฝ้าระวังโครงการใหญ่ๆ การควบคุมต้นทุน และการเร่งผลัดใบ resource ที่ไม่ fit
- **คำถาม: บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องใดมากที่สุดในการดำเนินธุรกิจ**
- **คำตอบ:** การทำให้แน่ใจว่าบริษัทมีความยั่งยืน มีความคงเส้นคงวา และมีอนาคต จะไม่เน้นอะไรที่ฉาบฉวย เป็นข่าว หรือรายได้ระยะสั้น แต่จะพยายาม move แบบให้มันมีความ steady และมีความมั่นคง
- **คำถาม: จากนโยบาย Tariff ของ Trump มีผลกระทบต่อ pipeline ของบริษัทหรือไม่ และมีแผนในการรับมือแนวทางนี้อย่างไร**
- **คำตอบ:** คำตอบรวมอยู่ในข้อแรกแล้ว (เรื่องความกังวลในด้านต่างๆ)
- **คำถาม: บริษัทใช้จุดแข็งในด้านใดในการเข้าสู่ตลาด AI**
- **คำตอบ:** ทีม data ที่มีประมาณ 3-400 คน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะไปสร้าง AI ให้กับลูกค้า และเรื่องของ security ของ AI เพื่อให้ลูกค้าใช้ AI ได้โดยที่ข้อมูลไม่รั่วไหล
สรุป
MFEC ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์, การควบคุมต้นทุน, การพัฒนาเทคโนโลยี AI, และการขยายฐานลูกค้า