บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
PTG โชว์ผลงาน Q1/2568 กำไรโตต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจ Non-Oil
P/E 12.41 YIELD 5.04 ราคา 6.95 (0.00%)
PTG โชว์ผลงาน Q1/2568 กำไรโตต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจ Non-Oil
สวัสดีครับ ผม ธีรพันธ์ จิตเซียบุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและความยั่งยืน และคุณ ปรเมศ สงวนโชคพณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานกลยุทธ์และบริหารการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ยินดีต้อนรับนักลงทุนทุกท่านเข้าสู่งาน SET Opportunity Day ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 PTG ของเราในวันนี้
วันนี้เราจะมาเริ่มที่ 5 Agenda หลักดังนี้:
- Snapshot ภาพรวม PTG
- Key Highlights ที่เกิดขึ้นในไตรมาสที่ 1
- Key Performance ทั้งในส่วนของ Oil และ Non-Oil
- Financial Statement และ งบการเงิน
- ESG Development และ ความยั่งยืน
- Summary บทสรุปและ Outlook ปี 2568
PTG at a glance ด้วยกลยุทธ์ของเราที่จะเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่อยู่ดีมีสุขในทุกด้านของช่วงชีวิต นี่คือตัววิสัยทัศน์ของบริษัทเรา
ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา Snapshot ณ สิ้นไตรมาส 1 เรามีสถานีบริการน้ำมัน PT 2,237 สถานี มี Market Share ของน้ำมันในเชิงของช่องทางสถานีบริการอยู่ที่ 22.1% จบไตรมาส 1 ที่ 1,634 ล้านลิตร ลดลง 10% Year over year
ในขณะที่ตัว Non-Oil Touchpoint เราไม่รวม LPG เรามี 2,425 Touchpoint ส่วนพันไทยเรากำลังเกิน 1,000 มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ไตรมาส 1 เราขยับไปสู่ที่ 1,476 ร้านพันไทยทั่วประเทศ และมีสมาชิกกว่า 25 ล้านสมาชิกของ PT Max Card
ไตรมาสที่ 1 ตัว Financial Snapshot เรา รายได้ของไตรมาสที่ 1 ของเราอยู่ที่ 57,407 ล้านบาท ลดลง 2.2% Q over Q แต่ว่าเพิ่มขึ้น 4.4% Year over year ซึ่งโดย Mix ตรงนี้ยังเป็น Oil Business ที่ 90.7% และ Non-Oil Business ที่ 9.3%
ด้วยตัว Gross Profit ไตรมาสที่ 1 เราจบ Gross Profit ที่ 4,025 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้น 5.7% จากไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 13.6% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว Gross Profit ตรงนี้ จะเห็นว่าเป็นส่วนของ Oil ที่ 67% ส่วนของ Non-Oil ที่ 33% ซึ่ง 33% ตรงนี้ประกอบไปด้วย พันไทย 13%, Max Mart 3% และอื่นๆ อีก 17%
จริง ๆ จะเห็นได้ว่าถ้ามองจากช่วงทั้งปีของปีที่แล้ว Non-Oil Gross Profit ของเรา เราอยู่ที่ 25% หรือ 1 ใน 4 แล้วเราก็ตั้งเป้าว่าปีนี้ Non-Oil Gross Profit เราจะขึ้นเป็น 30-35% วันนี้ไตรมาสที่ 1 Non-Oil Gross Profit เราเป็น 33% แล้วก็คือเป็น 1 ใน 3 จาก 1 ใน 4 เราเพิ่มเป็น 1 ใน 3 เราก็คาดหวังว่าจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ที่เราตั้ง Target นะครับในอีก 2-3 ปีเนี่ยมันจะต้องถึงที่ 50%
ตัว EBITDA ไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 1,507 ล้านบาท ก็คือลดลงนิดนึง 0.3% Year over year ส่วน Net Profit 186 ล้านบาท ลดลง 21.4% Q over Q และ 29.6% Year over year
มาที่ตัว Key Business Highlight ของไตรมาสที่ 1 Market Share ของ Oil ของเราเพิ่มขึ้นเป็น 22.1% จากไตรมาสที่แล้วที่ 21.9% แม้ว่าเราจะโตติดลบจากปีที่แล้ว 2% แต่ก็ยังเป็นอัตราส่วนที่น้อยกว่าที่ตลาดติดลบ ตลาดติดลบที่ 3.6%
ในขณะที่ Atlas บริษัทลูกของเราที่เป็นการขายตัวก๊าซ LPG ผ่านตัวสถานีบริการ ก็คือขายผ่านรถยนต์ที่เติม LPG รวมทั้งก๊าซครัวเรือน วันนี้ได้รับการอนุมัติจากทาง กลต. ในเชิงของการที่จะเสนอขาย IPO กับนักลงทุน ซึ่งคิดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้นะครับ สำหรับตัว Atlas ที่เราได้รับการอนุมัติเรื่อง Filing เรียบร้อยแล้ว
พันไทย วันนี้เราก็ขยายอย่างเป็นสาระสำคัญ 1,476 สาขา ถ้าเทียบกับ 31 มีนาคม เมื่อปี 2567 เราโตมา 529 สาขา เฉลี่ยวันละ 1.5 สาขา
ล่าสุดจาก นิตยสาร Brandage เราได้รับการจัดอันดับเป็นลำดับที่ 3 ของ The Most Trusted Modern Coffee Shop ก็คือเป็นร้านกาแฟสมัยใหม่ที่ได้รับการเชื่อถือที่สุด ถ้าเกิดดูข้างหลังเนี่ยเราก็มีการโปรโมทช่วงนี้ครับ พวกผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เราก็มีอยู่มาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ตาลโตนดจากสงขลา มีเรื่องของส้มมาปี๊ดจากจันทบุรี แล้วก็มีตัวชาเขียวจากเชียงราย แล้วก็มีชาอัสสัมจากทางนาค ก็เป็นสิ่งที่เป็นกลยุทธ์ของเรามาตลอด เรื่องใช้ผลิตภัณฑ์ชุมชนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ให้เป็นส่วนหนึ่งของเมนูเรา
เรื่องต่อมาคือ Subway ที่วันนี้ได้เข้าไปอยู่ใน Application Max Me แล้ว เราสามารถเราจะเห็นเรื่องที่เราคุยรอบที่แล้วว่าจะพูดในเชิงว่าวันนี้บทบาทของปีนี้ Max Card และ Max Me จะมีบทบาทมากขึ้น จะเป็นศูนย์กลางของเราในการ Support ธุรกิจ ในการเป็น Engine ให้ธุรกิจเราเติบโต ตัว Subway ก็เป็นตัวเริ่มต้นครับที่จะเห็นความเป็นรูปธรรม ได้ไปอยู่ใน Application Max Me สามารถสั่ง Subway ได้ สามารถดูสถานทีตั้งของแต่ละร้านได้ แล้วก็สามารถเพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์ที่เราจะมีให้กับสมาชิกบัตรสมาชิก Max Card Plus วันนี้ Subway ก็มีส่วนลด สามารถไปใช้บริการตรงนี้ได้
นอกจากนั้น Max Me ของเราก็มีตัวสามารถจ่ายด้วย Thai QR Payment แล้ววันนี้ก็คือครบเครื่องมากขึ้น Max Me วันนี้ก็จะเป็นทั้ง Wallet และก็เป็นทั้งศูนย์กลางของระบบสมาชิกเรา และก็เรื่อง Loyalty Program ต่าง ๆ
เรื่องสุดท้าย เราได้มีการเพิ่มทุนใน Thai Paiboon Equipment จาก 10% เป็น 31.56% ผ่านการซื้อหุ้นใหม่ ซึ่งก็ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับการจัดการขยะ และก็เรื่องของการผลิตตัว RDF ซึ่งก็คือเป็นธุรกิจหลักของ Thai Paiboon แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องไปกับ Portfolio ที่เป็นเรื่องของพลังงานสะอาด และก็พลังงานทดแทนของเรา
มาลงรายละเอียดที่ Oil ธุรกิจน้ำมันของเรา สถานีบริการเรามีอยู่ที่ 2,237 สถานี จะเห็นว่าอัตราการเปิดสถานีเราอาจจะไม่ได้เยอะมากแล้วนะครับ วันนี้เราจะเริ่ม Focus กับเรื่องการ Renovate งบลงทุนของเรา 1,000-1,500 ล้านของธุรกิจน้ำมันจะเป็นเรื่องของการ Renovate ทำให้มันครบเครื่องครบครัน แล้วก็สอบตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น 2,237 สถานีเป็น COCO 1,869 แล้วก็ DODO 368 ก็กระจายอยู่ทั่วภูมิภาค
เรื่องของการบริโภคน้ำมันของประเทศเราทางซ้ายมือคืออัตราการบริโภคน้ำมันของประเทศ จะเห็นว่า All Channel ทุกช่องทาง ไตรมาสที่ 1 คือ 8,969 ล้านลิตร ก็คือติดลบ 1.2% Q over Q และ -3.2% Year over year แต่ถ้ามองในแง่ของ Retail ของประเทศจบสิ้น 7,108 ล้านลิตรในไตรมาสที่ 1 ติดลบ 3.1% Q over Q และ 3.6% Year over year
ในขณะที่ฝั่งของ PTG ถ้าแบ่งตาม Channel ก็จะมีทั้ง Retail และ Wholesale โดยทั้งหมดเราปิดยอดขายที่ 1,667 ล้านลิตร แล้วก็ถ้ามองภาพรวมคือติดลบ 1.7% Q over Q และ -3.1% Year over year แต่ถ้ามองในแง่ Retail อย่างเดียว ถ้าจะมอง Apple to Apple จะต้องมองว่าเราในแง่ Retail เราลบเราลบ 2% Year over year ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศครับฝั่งซ้ายมือล่าง -3.6% Year over year ในเชิง Retail ส่วนเราเองในเชิง Retail -2% เราก็ยังถือว่าก็ยังลบน้อยกว่าตลาด อาจจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ณ ตอนนี้ทั้งหมด แต่ว่าก็เห็นว่าเราก็ยังสามารถประคับประคอง และก็มีกลยุทธ์ในการตรึงลูกค้าไว้กับทางบริษัทได้ ซึ่งจะเห็นว่าตัวที่เราติดลบเนี่ยหลัก ๆ ก็ลอง Expand ก็ทำได้เติบโต 1.7% แต่ว่า Same Store เองอาจจะติดลบนิดนึง ประมาณ 5% ส่วนภาพของตัว By product ก็จะเห็นว่าทางดีเซลก็ติดลบ 4.5% Year over year แต่เราก็มีเบนซินที่กลับมาชดเชยที่ 0.8% Year over year
Market Share อย่างที่เล่าให้ฟังว่าตอนเนี้ย Market Share เราเพิ่มขึ้นนิดนึง ก็ถามว่าเราก็ยังรักษาได้ Market Share เราก็เพิ่มขึ้นมาตลอด ถ้ามองที่เส้นกราฟข้างล่างตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 มา 3 ปีแล้วจะเห็นว่าเราก็เติบโตขึ้นทุกไตรมาส จาก 16.9% ก็โตมาเรื่อยวันนี้อยู่ที่ 22.1% ในเชิงของ Retail Channel
ต่อจากนี้จะเป็นเรื่องของ Non-Oil Business ครับ
ขอบคุณครับคุณปรเมศครับ เรามาต่อกันด้วยประเด็นของ Non-Oil Business นะครับ เริ่มแรกเลยเรามาดูก่อนว่าธุรกิจที่สำคัญในกลุ่ม Non-Oil ในไตรมาสที่ 1 ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เริ่มจากกราฟแรก Touch Point เนี่ย Touch Point Non-Oil ไม่รวม LPG อย่างที่ คุณ ปรเมศเรียนให้ทราบครับ ตอนนี้เรามีอยู่ 2,425 Touch Point เพิ่มขึ้นถ้าเราดูจากปีที่แล้วที่มีเพียง 1,621 จะเห็นว่าปีนึงเราเติบโตได้ถึง 5 50% หรือว่าเพิ่มมาถึง 804 สาขา แต่ถ้าเกิดเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาเราก็เพิ่มประมาณ 7% หรือ 156 สาขา
ในขณะที่เรามาดูในส่วนของรายได้นะครับ รายได้เนี่ย กลุ่ม Non-Oil เนี่ยสามารถ Generate รายได้ให้กับกลุ่มจำนวน 5,340 ล้านบาท ในส่วนนี้จะมีส่วนของที่เป็นกาแฟพันธุ์ไทยเนี่ย 954 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถ้าเทียบกัน Year on Year ก็เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 1 เท่าตัว และก็หากคิดเป็น 32.2% จากการขยายสาขาที่ต่อเนื่องเป็น 1,476 สาขา ก็ทำให้ตัวนี้นะครับมีอัตราเพิ่มขึ้น 55.9% Year on Year แล้วก็เพิ่มขึ้น 9.6% Q on Q ในขณะที่รายได้กลุ่มนี้นะครับ จะมีรายได้ส่วนนึงนะครับที่เกิดจากที่เรา รับรู้รายได้ตามมาตรฐาน T 1612 มีรายได้จากการสร้างโรงงาน ที่เราได้สัมปทานการสร้างโรงไฟฟ้า ก็ 140 ล้านบาท ถ้าเราเอาตัวนี้ออกไปนะครับ เทียบกันเมื่อไตรมาสที่ผ่านมานะครับ จะเห็นว่ารายได้ที่ไม่รวม รายได้จากการก่อสร้างขยะจะอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 4 เนี่ยจะอยู่ที่ 4,900 นะครับ ก็จะเห็นว่าเราสามารถเติบโตจาก Q on Q ได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าตัวเลขรายได้รวมจะติดลบ ในส่วนของกำไรขั้นต้นนะครับ สำหรับไตรมาสที่ 1 เรามีกำไรขั้นต้น 1,329 ล้านบาท
ตอนนี้เปอร์เซ็นต์จะอยู่ที่ 25.6% อันนี้เราคำนวณจากตัวที่เราตัดรายการที่เราบันทึกตามมาตรฐานบัญชี T 1612 ออกไปนะครับ อยู่ที่ 25.6 เพราะว่าถ้าเกิดเราดูในงบการเงินจริง ๆ อาจจะ อาจจะได้อาจจะต่ำกว่านี้นิดนึง เพราะว่าเวลาเราบันทึก T 1612 เนี่ย เราบันทึกทั้งรายได้และต้นทุนเข้าไปด้วย จำนวนเงินที่เท่ากัน จะเห็นได้ว่าถ้าด้วยอัตราเนี้ยทำให้ Q on Q เนี่ยเราสามารถ เราเติบโตอยู่ที่ 32% แล้วเราเติบโตในตัว Gross Profit Margin เนี่ย 55.1%
ถ้ามาดูกำไรขั้นต้น จะเห็นได้ว่าตอนนี้อัตรากำไรขั้นต้นจากกลุ่มที่ Non-Oil และ ที่เรา Generate รายได้จาก Non-Oil และ Oil นะครับ ก็จะเห็นว่าจะเป็นอยู่ที่สัดส่วน 33% จากเดิมถ้าเราดูตัวเลขของไตรมาสที่แล้วจะอยู่ที่ 26.4%
จะเห็นได้ว่าส่วนธุรกิจ Non-Oil เนี่ยสามารถช่วยทำให้ Generate กำไร ก็จะ Generate กำไรขั้นต้นเนี่ย ให้กับกลุ่ม PTG ได้ค่อนข้างสูงขึ้น นอกจากการเรียนให้ทราบครับ กาแฟพันธุ์ไทยจะเป็นกลุ่มหลักที่ทำให้รายได้ Gross Profit Margin หลักจากพันไทยนะแต่ก็อย่าลืมว่าเรายังมีทั้ง LPG Max Mart Autobac Subway และ Magnitron ที่ช่วย Generate รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
2,425 Touch Point ไม่ได้มีเพียงแต่พันไทยที่เป็น 1,476 สาขาเท่านั้น เรายังมี Max Mart อยู่ที่ 376 สาขา มี Auto Back 123 สาขา Subway ตอนนี้รวมแฟรนไชส์มีอยู่ 71 สาขา 23 สาขา อีก By PT 200 สาขา Magnitron สำหรับสถานีเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง 48 สาขา แล้วเรายังมี Less Area อีกประมาณ 108 สาขา แต่อัตราการเติบโตเนี่ยจริง ๆ แล้ว จะเห็นว่า Touch Point ที่เราเติบโตขึ้นเนี่ยเกือบ 50% หลัก ๆ มาจากกาแฟพันธุ์ไทยนะครับที่ก็เกิด 50% และอีกตัวนึงที่เรายังเติบโตที่ค่อนข้างสูงจากปีที่แล้วก็คือสถานีอัต ประจุไฟฟ้า อิเล็ก นะครับซึ่งต้นไตรมาสปี 2567 มีเพียง 60 สถานี ในขณะที่ปัจจุบันเพิ่มถึง 200 สถานีแล้ว ในกลุ่ม Non-Oil นะครับ เราก็จะมา Focus กันที่ธุรกิจหลัก ก็คือตัวกาแฟพันธุ์ไทย ที่ตอนนี้เป็นที่จับตามองนะครับ ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วย Generate รายได้ และกำไรให้กับกลุ่มบริษัทนะครับ
ในเดือนมีนาคม สิ้นไตรมาสที่ 1 นะครับ มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 1,476 สาขา ถ้าเรามาดูนะครับ จากเทียบจากปีที่แล้วเนี่ย จำนวนสาขาเนี่ยเราเพิ่มขึ้นมา 529 สาขา ก็เกือบประมาณ 50% Q on Q เนี่ยเราเพิ่มขึ้นมา จํานวนสาขานะครับ เพิ่มมา 129 สาขาประมาณ 10% ถ้าเรามา Break Down ดูในสัดส่วนของสาขานะครับ จะเห็นว่าเป็นสาขาที่ Equity ก็คือเราลงทุนเองทั้งหมด กับสาขาที่เป็นแฟรนไชส์ Equity ที่อยู่ในสถานีน้ํามันนะครับ ตอนนี้สัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 49% หรือ 726 สาขา ในขณะที่เราลงทุนเองเนี่ยอยู่นอกสถานีประมาณ 29 สาขา และแฟรนไชส์นะครับ แฟรนไชส์ที่อยู่ในสถานีเราเองเนี่ยประมาณ 5 5% และแฟรนไชส์ที่อยู่ Outside เนี่ยประมาณ 17% รวมแล้วเนี่ยที่อยู่ภายนอกปั๊มน้ำมันนะครับ มีอยู่ที่ 678 สาขาคิด 45%
สัดส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เราเริ่มขยายพื้นที่ออกไปนอกปั๊มน้ำมันมากขึ้นไปอยู่ในทั้ง CBD ในอาคารสำนักงาน และก็โรงพยาบาลสถานทีต่าง ๆ โดยเฉพาะตอนนี้นะครับ ที่กำลังเป็นที่ ที่รู้จักกันก็คือที่รัฐสภานะครับ ถ้าเกิดใครมีธุระที่ไปนั้นก็จะเป็นสาขาหนึ่งที่มีเมนู Signature ด้วยอาจจะแวะไปแวะชมกันได้
รายได้ของพันไทยนะครับ ไตรมาส 1 แตะตัวเลขอยู่ที่ 959 ล้านบาท ก็เพิ่มขึ้นเรียกว่า 2 เท่าจากไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ไตรมาส 1 ปีที่แล้วอยู่ที่ 450 ล้านบาท แต่ถ้าเกิดเทียบ Q on Q ก็เติบโตประมาณ 30% รายได้ก็ยังเนื่องจากนะครับ ก็ยังเรายังขยายสาขาอย่างต่อเนื่องนะครับ แล้วก็ลูกค้าลายเดิมที่มีความเป็น Royalty อยู่ในระบบ Royalty โปรแกรมผ่าน Max Card Plus Max Card เรานะครับ ที่มีแคมเปญการตลาดต่อเนื่องนะครับทำให้ Same Store Sale เนี่ยสามารถเติบโตได้ประมาณ 40%
Gross Profit ของไตรมาส 1 อยู่ที่ 523 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120% ก็เพิ่มขึ้นเท่าตัวกว่า ๆ แล้ว ในขณะที่ Q on Q เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28% อัตรากำไรขั้นต้น Gross Profit Margin เนี่ย ไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 54.5% ลดลงเล็กน้อยจาก 56.1 ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว สาเหตุหลักจริงๆ แล้วก็ตัวนี้มันก็คือเรื่องของการเปิดขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง อย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 4 เป็นต้นมา ก็อาจจะมีผลกับกำไรขั้นต้นเล็กน้อย คิดว่าต่อ ไปต่อเนื่องในอนาคต คิดว่าอัตราตัวนี้น่าจะ Gross Profit Margin น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ตาม ที่ Fix ตัวนะครับ แล้วก็มีอัตราการทำรายได้ของ Same Store Sale มากขึ้น
มาดูในบริษัทต่อไปในกลุ่มธุรกิจ Autobac นะครับ จำนวน Touch Point ปีที่แล้วเรามีเพียงแค่ 83 สาขา เราเติบโต Year on Year มาเกือบ 50% เหมือนกัน 48.2% เพิ่มมา 40 สาขา ในขณะที่เราโต Q on Q ไตรมาส 1 เนี่ยเราเพิ่มมา 6 สาขา คิดเป็น 5.1% จะเห็นได้ว่าตัวที่เป็นสาขาของ Autobac เนี่ยจะอยู่ภายใต้สถานีน้ํามันนะครับอยู่ที่ 93 สาขา คิดเป็น 75% ส่วนใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่ของปั๊มสถานีบริการน้ํามันนะครับ ในขณะที่ตัวที่นอกสาขาเนี่ยเราเริ่มมีการขยายตัวมากขึ้นก็อยู่ที่ 30 สาขาหรือคิดเป็น 24% ในขณะที่ส่วนของรายได้นะครับ จะเห็นได้ว่าตัวรายได้จากการขายของ Autobac นะครับ อยู่ที่ 309 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว Year on Year 30.8% ขณะที่เติบโตจากช่วงปลายปีประมาณ 8.5% ตัว Gross Profit นะครับ ก็อยู่ที่ประมาณ 220 ล้านบาท ก็เติบโตจริง ๆ ถ้าเราดูมาดูเปอร์เซ็นต์ GP นะครับ ก็จะอยู่ช่วง ไตรมาสที่ 4 เนี่ยจะอยู่ อ่า ไตรมาสที่ 1 เนี่ยครับ ก็ Profit จะอยู่ที่ประมาณ 21.8%
ช่วงปีที่ช่วงปีของปี 2567 ก็ 2567 เนี่ยเนื่องจากตอนช่วงต้นปีเราอาจจะมีการประมาณการ Rebate อะไรเข้าไปนะครับ ที่เราคิดว่าเป้าจะถึง เราก็เลยประมาณการรายได้ส่วนนี้เข้าไปพอช่วงปลายปีเนี่ยเราพบว่าจริง ๆ แล้วเนี่ยพอเป้าไม่ ไม่ถึงตามที่แคมเปญ การตลาดของเรานะครับ เราก็เลยมีปรับยอดมาให้ ให้ตรงกับความเป็นจริงมากสุดนะครับ โดยในขณะที่ปีนี้นะครับ เรายังไม่ได้ เราก็ยังใช้ตัวเลขจริงที่ยังไม่ได้มีการ ผักปรับ รายได้จาก Rebate ตัวนั้นมานะครับ ซึ่งมีความไม่แน่นอนในอนาคต ก็ Gross Profit Margin นะ ถ้าเทียบกันดูแล้วเนี่ยจะเห็นว่าก็มีอัตราที่เติบโตได้ค่อนข้างดีนะครับ ถ้าเฉลี่ย ปีที่แล้วเนี่ยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21.9% ก็ต้องเรียนให้ทราบว่าจริง ๆ แล้ว Autobac เนี่ยอยู่ในช่วงที่กำลังขยายตัว ซึ่งอัตราการทำกำไร กลับ มาเนี่ยมันอาจจะ ระยะเวลาอาจจะ Payback period อาจจะนานกว่าพันไทย เพราะว่าการลงทุนพันไทยสาขานึงอาจจะไม่ได้เยอะ ไม่ได้ลงทุนเยอะสูงเหมือนทีม Autobac นะครับ แต่ว่า Autobac เนี่ย ก็ถ้า ถ้าด้วยอัตรา การทำกำไรในขณะนี้นะครับ คิดว่าภายในปี 2 ปีเนี่ยก็สามารถคืนทุน แล้วก็ อาจจะเลยจุดที่เป็น S Curve ได้ ทำให้อัตราการทำกำไรจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ฝากไว้ครับวันนี้ Non-Oil ของเรา Gross Profit คิดเป็น 1 ใน 3 แล้วฝากช่วยเราให้ถึง 1 ใน 2 เร็ว ๆ จะได้มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นที่เท่ากันบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป