บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

ไฮไลท์สำคัญ: CKP ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ปริมาณผลิตไฟฟ้าโต

CKP ได้รับปัจจัยหนุนจากดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลดลง และปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เขื่อนน้างึม 2 และไซยะบุรีเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า BYD คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ประมาณ 1 ล้านบาท ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 144 ล้านบาท นอกจากนี้ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนยังช่วยหนุนผลประกอบการอีกด้วย

รายละเอียดผลประกอบการ: ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนไซยะบุรีเพิ่มขึ้น 41%

ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนน้างึม 2 ในไตรมาส 1/2568 เติบโต 7% YoY เป็น 399 GWh ในขณะที่ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนไซยะบุรีเพิ่มขึ้น 41% YoY ช่วยหนุนปริมาณการผลิตไฟฟ้ารวมช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมของเขื่อนไซยะบุรี เพิ่มขึ้น 31% YoY เป็น 1367 GWh โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง (LPCL) ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมีหนี้ต่างประเทศประมาณ 460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่า 0.5% บริษัทอาจบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 39 ล้านบาท (ตามสัดส่วนที่ CKP ถือหุ้นอยู่ 50%)

ข้อสังเกต: สภาพภูมิอากาศเป็นกลาง แนวโน้มผลประกอบการดีขึ้น

แบบจำลองคาดการณ์สภาวะเป็นกลางในเดือนเมษายน-ธันวาคมนี้ ชี้ว่าปริมาณน้ำจะดีขึ้นสู่ระดับปกติ ช่วยให้แนวโน้มผลประกอบการปี 2568 มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2567 ที่เผชิญกับภาวะอากาศแปรปรวน BYD ปรับเพิ่มค่า BETA ของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำและแสงอาทิตย์จาก 0.7 เป็น 0.8 และปรับเพิ่มค่า BETA โครงการโรงไฟฟ้าความร้อนร่วมจาก 0.7 เป็น 1.1 เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

สรุปและคำแนะนำ: คงคำแนะนำ "ซื้อ" ปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 4 บาท

BYD คงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 4.00 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 4.40 บาท) อิงวิธี Sum of the Parts โดยมีปัจจัยหนุนจาก (1) สภาวะภูมิอากาศเป็นกลางในปี 2568 จากเดิมที่เป็นเอลนีโญ (2) ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงในอนาคต ทุกๆ ดอกเบี้ยที่ลดลง 0.25% จะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยประมาณ 90 ล้านบาทต่อปี

วิธีคิดราคาเป้าหมาย: อิงวิธี Sum of the Parts โดยพิจารณามูลค่า NAV ของแต่ละโครงการ (โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ NN2, XPCL, โรงไฟฟ้าความร้อนร่วม BIC, และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ BKC) และปรับด้วย WACC ที่เหมาะสมกับแต่ละโครงการ