บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
สรุป Oppday BYD: ฝ่าวิกฤตตลาดทุน ผงาดผู้นำ Wealth Management ครบวงจร ปี 2568
P/E -100.00 YIELD 0.00 ราคา 0.59 (0.00%)
สรุป Oppday BYD: ฝ่าวิกฤตตลาดทุน ผงาดผู้นำ Wealth Management ครบวงจร ปี 2568
สรุป Opportunity Day ของบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) ในปี 2568 ไตรมาส 1 ที่จัดขึ้นโดยมีคุณสุภากร สุนทรกิตติ์ และคุณจักรกฤษณ์ เจริญเมธาชัย เป็นผู้ให้ข้อมูล
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)
ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ทั้งตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ โดยมีปัจจัยกระทบจากสถานการณ์สงครามและข่าวสารต่างๆ ทำให้การลงทุนมีความท้าทายมากขึ้น
- หุ้นไทยรีบาวด์ขึ้นมาในช่วงสงคราม แต่หลังจากนั้นก็ซบเซาลงไปอีก
- หุ้นโลกยังผันผวนต่อเนื่อง
- ภาวะการลงทุนค่อนข้างยากลำบาก ไม่ใช่แค่ธุรกิจหลักทรัพย์ แต่เป็นทุก Sector
สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจ Wealth Management ครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในการ Diversify รายได้
- แต่ก่อนรายได้จาก Brokerage คิดเป็น 80-90%
สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยในตลาดลดลงประมาณ 30% และย้ายไปลงทุนในสถาบันมากขึ้น
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)
บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโตในธุรกิจ Wealth Management ครบวงจร และขยาย Product Service ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
- บริษัทไม่ได้มุ่งเน้น Broker ที่เน้นซื้อขายหุ้นอย่างเดียว
- บริษัทเป็นตัวแทนขาย (Selling Agent) โดยคัดเลือก Product ที่ดีที่สุดจาก บลจ. ต่างๆ
ธุรกิจ Investment Banking ยังคงมีความสนใจในการเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
บริษัทมีการปรับปรุงและพัฒนา Innovative Product ใหม่ๆ ทุกไตรมาส
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)
ความเสี่ยงหลักที่บริษัทกำลังเผชิญคือ ความผันผวนของตลาดทุน และข่าวสารต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก อาจส่งผลให้บริษัทหลายแห่งขาดทุน
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)
บริษัทให้ความสำคัญกับการปรับตัวให้เข้ากับกติกาของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และพยายามที่จะปรับตัวเพื่อให้การลงทุนอยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุด
- บริษัท Monitor NCR (Net Capital Rule) ตลอดเวลา
- Maintain NCR ให้สูง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)
บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นบริษัท Wealth Management ครบวงจร และยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนา Product Service และการให้ความรู้แก่นักลงทุน
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [นาทีที่ 17:43]
-
CB จะแก้ไขอย่างไร
คำตอบ: มีการแก้ไขตัว CB เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วง Lock Process ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี แต่ในแง่ของ Action ได้ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว Equity ตอนนี้อยู่ที่ 7,500 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าทุนจดทะเบียนที่ 6,500 ล้านบาท หลังจากงบปีนี้ออก ATM จะดำเนินการนำเครื่องหมาย CB ออกไป
-
สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่
คำตอบ: Top 10 ยังคงเหมือนเดิม อันดับ 1 คือ EA Mobility ประมาณ 19.9% อันดับ 2 HSBC ถือผ่านฮ่องกง 14.67% อันดับ 3 คุณโฟม สุวรรณ ยังไม่เปลี่ยนแปลง โครงสร้างผู้ถือหุ้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
-
การลงทุนใน DR
คำตอบ: DR เป็น Product ที่นักลงทุนให้ความสนใจ เพราะหุ้นไทยไม่ค่อยไปไหน บริษัทจึงเชียร์ให้นักลงทุนไปลงทุนในต่างประเทศ นักลงทุนสามารถลงทุนเองได้ง่ายๆ บริษัทมีการจัดโปรโมชั่นและ Event ต่างๆ เพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น Xiaomi, Huawei หากไม่ชอบก็ลงทุนใน Ping An หรือบริษัทที่มั่นคงอื่นๆ DR ตัวใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เช่น QQQ
-
การลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรอง
คำตอบ: บริษัทมีตัว Screen ว่าหุ้นกู้ตัวไหนมีแนวโน้มจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเกิน 50%, 60%, 80% จะแนะนำให้นักลงทุนขายออกจากพอร์ต เพราะเมื่อถูกปรับลด Rating ราคาจะตก นักลงทุนจะขาดทุน บริษัทจึงทำการซื้อขายหุ้นกู้ตลาดรองเสมือนหนึ่งการซื้อขายหุ้น
-
สภาวะตลาดพันธบัตร
คำตอบ: คุณจักรกฤษณ์มองว่าอาจเกิดวิกฤตพันธบัตร หากนักลงทุนสถาบันหรือ Private Bank หนีไม่ทันอาจจะเจ๊งได้ การที่ลูกค้ารีบหลีกหนีก่อนจะดีกว่าต้องมาขาดทุน ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของไทยเหลือไม่ถึง 1.5% ซึ่งน้อยลงกว่าเดิมมาก แต่ถ้าเทียบกับเงินฝากก็ยังคงดึงดูดใจอยู่ หุ้นกู้ในภาวะ Macroeconomic ที่ไม่ดี A+ วันนี้ไม่ได้แปลว่าเป็น A+ ไปตลอด โอกาสที่จะถูกปรับลด Rating มีสูง ดังนั้นต้องระมัดระวังและปรึกษาที่ปรึกษาทางการลงทุนก่อนตัดสินใจ
-
NCT / NCTR
คำตอบ: คุณสุภากรแจ้งว่า NCR ของ BYD ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 อยู่ที่ประมาณ 944 ล้านบาท และ NCR% อยู่ที่ 123% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดไว้
โดยสรุป BYD ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจ Wealth Management ครบวงจร แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน โดยให้ความสำคัญกับการปรับตัว พัฒนา Product และให้ความรู้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง