https://aio.panphol.com/assets/images/community/6627_db8ac9.png

CHO อนาคตสดใส! แผนธุรกิจปี 2568 มุ่งสู่ EV Platform และ Smart City

P/E -100.00 YIELD 0.00 ราคา 0.06 (0.00%)

CHO อนาคตสดใส! แผนธุรกิจปี 2568 มุ่งสู่ EV Platform และ Smart City

สวัสดีค่ะ วันนี้ บริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) ขอเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนสำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี พ.ศ. 2568 ผ่านระบบออนไลน์

โดยมีผู้บริหาร 2 ท่าน ได้แก่ คุณสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานบริหาร และคุณพานทอง โนวะ CFO

ข้อมูลที่จะนำเสนอในวันนี้มี 3 หัวข้อหลักๆ คือ สรุปข้อมูลบริษัท สรุปผลการดำเนินงานและข้อมูลทางการเงิน และแผนการดำเนินงานโครงการที่สำคัญในอนาคตปี 2568-2569

โครงสร้างของบริษัท ช ทวีจํากัด (มหาชน) มีบริษัทลูกอยู่ตามที่เห็นในหน้าจอนี้ ปัจจุบันมีการปรับทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วเป็น 17,940 ล้านบาท และมีจำนวนหุ้น 3,588 ล้านหุ้น

  • บริษัท ช ทวี เทอร์โมเทค ทำเกี่ยวกับผนังห้องเย็น
  • บริษัท KLRT ทำเกี่ยวกับการขนส่งในจังหวัดขอนแก่น เกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้ารางเบาสมาร์ทซิตี้
  • บริษัท ARK (อมรรัตนโกสินทร์) ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยี เช่น ระบบตั๋ว ระบบ Metaverse และระบบ Token
  • บริษัท CABB (All S Holding จํากัด) ทำเกี่ยวกับรถ London Taxi ในกรุงเทพมหานคร
  • บริษัท สิงโต จดทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกา ลงทุนในบริษัทที่เป็น Corporate และ Listed ในตลาดอเมริกา (ปัจจุบันย้ายมาอยู่ตลาด OTC) และกำลังจะควบรวมกับบริษัทในประเทศไทย
  • บริษัท สยามเมดิคอล ทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ (ไม่ใช่เพื่อสันทนาการ) และได้รับการอนุมัติใบอนุญาตเรียบร้อยแล้ว

กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์มาตรฐานของบริษัทคือ รถบรรทุกทั่วไปและรถบัส

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มรถบรรทุก รถพ่วง ซึ่งมีการขายในประเทศและส่งออกด้วย

ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่สองคือผลิตภัณฑ์ออกแบบพิเศษ ซึ่งใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการออกแบบ เช่น รถลำเลียงอาหารสำหรับเครื่องบิน (Airport Ground Service Equipment) หรือ Catering Truck ซึ่งได้รับผลกระทบในช่วงโควิดเนื่องจากสายการบินหยุดบิน แต่ปัจจุบันออเดอร์ได้กลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว

สินค้าออกแบบพิเศษอีกตัวคือ การนำผนังตู้เย็นมาพัฒนาเป็นระบบต่างๆ บนรถที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น รถ CT Scan คันแรกของเอเชีย และรถที่ทำเป็น Lab ตรวจเชื้อต่างๆ

ช่วงโควิด บริษัทได้รับงานรถโควิดผลด่วนพระราชทาน จำนวน 10 คัน เพื่อให้สามารถตรวจโควิดได้เร็วขึ้นและสำเร็จได้ในรถคันเดียว

กลุ่มออกแบบพิเศษอีกตัวคือ รถบรรทุกขนาดหนัก (Heavy Haulage) ซึ่งบริษัทเป็นเจ้าแรกๆ ในประเทศไทยที่ผลิตรถประเภทนี้

กลุ่มที่สามคือ กลุ่มบริหารงานโครงการและการบริการ เช่น การบริหารโครงการต่อเรือไกลฝั่งร่วมกับบริษัทอู่กรุงเทพและ BAE System เป็นเรือขนาด 90 เมตร ซึ่งผลิตในประเทศไทยทั้งหมด โดย ช ทวีเป็นผู้บริหารโครงการ ปัจจุบันผลิตไปแล้ว 2 ลำ ได้แก่ เรือหลวงกระบี่ (551) และเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ (552)

นอกจากนี้ยังมีการซ่อมปืนใหญ่ขนาด 105 มิลลิเมตร ในฐานะที่เป็นตัวแทนของบริษัท BAE System จํากัด และได้ซ่อมและส่งมอบไปแล้ว 22 กระบอก

โครงการพิเศษอีกโครงการคือ ชอ Smart Transit ซึ่งเป็นการบริหารโครงการเดินรถ โดยไม่ได้ขายเฉพาะรถบัส แต่ขายเรื่องการบำรุงรักษา การบริหารการเดินรถ ระบบตั๋วโดยสาร ระบบความปลอดภัย ระบบบันทึกข้อมูล และพนักงานขับรถ ก่อนโควิด บริษัทมีรถร่วมกับ ขสมก. ที่ทำเองหลายสาย ตั้งแต่เชียงใหม่จนถึงกรุงเทพฯ และขอนแก่น แต่หลังโควิดเหลืออยู่ที่ขอนแก่นที่เดียว

ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บริการของบริษัทอะไรบ้าง เช่น ซื้อรถ หรือซื้อระบบบริหารจัดการ บริษัทสามารถทำได้หมด และรายงานต่างๆ ก็จะเป็นชื่อลูกค้าที่ใช้บริการอยู่

ตัวอย่างลูกค้าของบริษัท ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (รถ NGV), SCG (รถน้ำมันและรถไฟฟ้าที่ระยอง), และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รถไฟฟ้าล้วน)

การบริหารจัดการของบริษัทมีทั้งระบบตั๋ว ระบบควบคุม และป้ายอัจฉริยะตามป้ายรถเมล์ นอกจากนี้ยังมีกล้องบนรถ และการฝึกอบรมพนักงานเหมือนกับที่ประเทศญี่ปุ่นทำ

ศูนย์บริการของบริษัทอยู่ที่ศรีราชา ชลบุรี เป็นศูนย์หลักที่สามารถซ่อมรถได้ทุกชนิด ตั้งแต่รถที่มีเครื่องยนต์จนถึงรถพ่วงรถเทรลเลอร์

ตัวอย่างลูกค้าที่ใช้บริการศูนย์บริการ ได้แก่ เครือ SCG (น้ำพอง) และระยอง (รถไฟฟ้า)

ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ สินค้ามาตรฐาน ออกแบบพิเศษ และบริหารโครงการ

ในปี 2567 ยอดขายรวมไตรมาส 1 อยู่ที่ 64.72 ล้านบาท โดยเป็นบริหารโครงการที่มีจำนวนสูง (40.32 ล้านบาท)

ในปี 2568 ยอดขายรวมไตรมาส 1 อยู่ที่ 50.51 ล้านบาท โดยเป็นออกแบบพิเศษ (รถลำเลียงอาหารบนเครื่องบิน) ที่มีออเดอร์จากต่างประเทศเข้ามาเยอะ (74%)

รายได้ในประเทศปี 2567 อยู่ที่ 60.60% ส่วนต่างประเทศอยู่ที่ 39.40%

รายได้ในประเทศปี 2568 ยอดขายเริ่มดีขึ้นอยู่ที่ 73.59%

กำไรขาดทุนสำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 และ 2568 ยังเป็นขาดทุนอยู่ โดยไตรมาส 1 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 126 ล้านบาท

หนี้สินรวมปี 2567 อยู่ที่ 2,314.18 ล้านบาท ปี 2568 อยู่ที่ 2,482.84 ล้านบาท โดยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในส่วนของเจ้าหนี้การค้า

ทุนปี 2567 อยู่ที่ 879.86 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 84.95 ล้านบาท

สินทรัพย์รวมปี 2567 อยู่ที่ 3,224.04 ล้านบาท สำหรับปี 2568 อยู่ที่ 2,567.79 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขลดลงในส่วนของสินทรัพย์บางส่วนที่มีการจำหน่าย

หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 29.23 เท่า และหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเท่ากับ 19.86 เท่า ซึ่งบริษัทได้รับการยกเว้นในเรื่องของ D/E Ratio จากผู้ถือหุ้นแล้ว

Backlog ของบริษัท ณ วันที่ 31 มีนาคม อยู่ที่ 228.15 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นในประเทศ 95.34 ล้านบาท และต่างประเทศ 132.82 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2568 จำนวน 199.11 ล้านบาท และส่วนที่เหลือรับรู้หลังจากปี 2568

Recurring Income ของบริษัทมาจากรถรับส่งพนักงานของ SCG น้ำพอง (4 คัน, สัญญา 3 ปี, 25.69 ล้านบาท), รถรับส่งบุคลากรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สัญญา 5 ปี, 71.02 ล้านบาท), และรถรับส่งบุคลากรของ SCG ระยอง (สัญญา 7 ปี, 15.27 ล้านบาท)

นอกจากนี้ยังมีงานโครงการที่ชลบุรี (124 ล้านบาท) ซึ่งมีรายได้ประมาณเดือนละ 1.5 ล้านบาท และ Recurring Income ประมาณ 3.56 ล้านบาท โดยมี Backlog อยู่ที่ 59.60 ล้านบาท (ยังไม่รวม VAT)

แผนงานโครงการในอนาคตของบริษัทมีการปรับ New S-Curve โดยมี 4 ธุรกิจเดิมที่ยังดำเนินการอยู่ ได้แก่ Smart City และ EV

Smart City กำลังทำเรื่องรถขนส่งมวลชนระบบรางเบา คาดว่าจะเห็นผลภายใน 1 ปีข้างหน้า และจะมีการเซ็นสัญญาวงเงิน 23,000 ล้านบาทของเทศบาล ซึ่งบริษัทจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและบริหารโครงการ

EV เน้นเรื่องรถยนต์ EV เชิงพาณิชย์ และจะทำเป็น Platform โดยมี Back-End System และ Application ซึ่งยังไม่เปิดตัว ชื่อ Acep (Advance Commercial EV Platform) และกำลังระดมทุน

FinTech ของบริษัทคือ การลงทุนในสหรัฐอเมริกา เพื่อให้สามารถระดมทุนและควบรวมกิจการ ทำให้เกิดกำไรจากการควบรวม

บริษัทกำลังจะเปลี่ยนแท็กซี่ให้เป็น EV โดยทำทั้งหมด 3 รุ่น Prototype ซึ่งรุ่นที่ 3 น่าจะมีความมั่นใจที่สุด นอกจากนี้ยังมีการทำ Application และลงทุนใน SPAC ที่ Nasdaq อเมริกา และธุรกิจกัญชา ซึ่งกำลังจะขายออกไป

ปัจจุบันบริษัทกำลังทดสอบรถ EV ดัดแปลง (EV Conversion) ให้กับ กทม. และหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งมีนโยบายในการ Conversion รถจากน้ำมันให้เป็น EV

บริษัทเป็นหนึ่งในลำดับต้นๆ ของประเทศที่สามารถทำ Conversion รถบรรทุกขนาดใหญ่ได้จริง

โครงการ Acep จะช่วยให้ลูกค้าสามารถ Split ราคารถ และยกแบตเตอรี่ออกได้ในราคาถูก และบริษัทสามารถหักเงินเพิ่มเป็นการเก็บค่าแบตเตอรี่กลับมาได้

คาดว่าภายในไตรมาส 3 บริษัทน่าจะเปิดตัวโครงการ Advance Commercial EV Platform (Acep) ได้

ผลกระทบจากโควิด ทำให้บริษัทได้มีการปรับ New S-Curve ของบริษัท ปัจจุบันบริษัทมี 4 ธุรกิจที่ยังดำเนินการอยู่คือ Smart City, EV, FinTech และธุรกิจกัญชา

Q&A Session [01:06:05]

  1. คำถาม: บริษัทมีความกังวลใดๆ ใน 1-3 ปี หรือไม่ และมีแผนรับมืออย่างไร?
    • คำตอบ: บริษัทไม่มีความกังวลใดๆ แล้ว บริษัทมีแนวทางที่ชัดเจนในการทำงาน และรู้ว่าแนวทางของบริษัทมาถูกทางแล้ว เช่น การลงทุนในต่างประเทศที่เป็นตัวสำรองเอาไว้ เป็นการทำกำไรใช้คนน้อยกำไรเยอะ และตัวเทคโนโลยีอีก 2 ตัว คือ กัญชาที่เป็น Medical Grade และรถไฟฟ้า Commercial EV Platform
    • บริษัทรู้ว่าน่าจะมีโอกาสทำกำไร และภายในปีนี้หรือปีหน้า ตัวเลขของบริษัทก็จะทยอยกลับมา เพราะฉะนั้น 1-3 ปีข้างหน้าไม่น่ากังวลอะไร ถ้าผลกระทบจากนโยบายภาษีของ Trump ก็ไม่มีผลกระทบอะไร เพราะบริษัทมีบริษัทที่อเมริกาอยู่แล้ว ซึ่งทางสหรัฐฯ ก็ต้องช่วยเหลือ
    • เราคิดว่าเรามีความมั่นใจซะด้วยซ้ำ ว่าน่าจะได้เปรียบคนอื่นมากกว่า เพราะมีการลงทุนเป็นเผื่อเอาไว้ ธุรกิจเดิมก็ทยอยกลับมาดีแล้ว ธุรกิจใหม่ที่ทำก็ทยอยกำลังจะสัมฤทธิ์ผล
  2. คำถาม: บริษัทให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากที่สุดในการดำเนินธุรกิจ?
    • คำตอบ: สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจคือ เรื่องคน และเรื่องเทคโนโลยี และเรื่องการอบรม สินค้าใหม่ของบริษัทจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าพนักงานของบริษัทไม่มีความเข้าใจในสินค้าเหล่านั้น ตอนนี้บริษัทมีทั้งหมด 26 แผนก และใช้ AI หมดแล้ว ทุกคนถูกเทรนนิ่งและอบรม และเริ่มใช้ AI และบริษัทก็เริ่มก้าวเข้าไปใน AI
    • บริษัทมีการ Upskill และ Reskill คน โดยการค่อยๆ เรียนรู้กันไป ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็เรียนรู้อย่างมีรูปแบบ มีแผนการในการอบรมต่างๆ และทุกแผนกก็เริ่มใช้ AI แล้ว และทุกคนก็เริ่มเข้าใจว่ามันเป็นประโยชน์สำหรับบริษัทในอนาคต
  3. คำถาม: สอบถามตัวเลข ROIC เทียบกับ WACC?
    • คำตอบ: ROIC ติดลบอยู่ที่ 7% เนื่องจากบริษัทมีผลขาดทุนจากค่าใช้จ่าย Fixed Cost และการตั้งสำรองในสินค้าที่ไร้ค่า
    • WACC อยู่ที่ 11% เนื่องจากบริษัทมีการถูกบันทึกการตั้งดอกเบี้ยที่ผิดนัดของสถาบันการเงิน ทำให้ต้นทุนทางการเงินที่สูง

โดยสรุป บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) มีแผนธุรกิจที่ชัดเจนในการมุ่งสู่ EV Platform และ Smart City โดยให้ความสำคัญกับคนและเทคโนโลยี และมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยคาดหวังว่าในอนาคตอันใกล้ ผลการดำเนินงานของบริษัทจะกลับมาเติบโตและสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน

โพสต์ล่าสุด