บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

ไฮไลท์สำคัญ: SCCC โชว์ผลงาน Q3/68 กำไรสุทธิโต 2% จากปีก่อน แม้เจอความไม่แน่นอนจากภายนอก ธุรกิจปูนซีเมนต์ในไทย ศรีลังกา และกัมพูชา เป็นแรงหนุนสำคัญ

บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทหลังหักส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากปีก่อนหน้า ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปีก่อน โดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาอยู่ที่ร้อยละ 23 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจปูนซีเมนต์ในประเทศไทย ศรีลังกา และกัมพูชา

สถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุน: SCCC คาดเศรษฐกิจโลก Q4/68 ขยายตัวปานกลาง เดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์-เหมืองหินแกรนิต

SCCC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในไตรมาส 4/2568 จะขยายตัวในระดับปานกลาง พร้อมติดตามความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมหภาคอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน สำหรับตลาดวัสดุก่อสร้างในประเทศไทย คาดว่าจะทรงตัวในไตรมาสปัจจุบันและในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและอุปสงค์ภาคเอกชนที่อ่อนแรง โดยมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 84 เมกะวัตต์ในจังหวัดสระบุรีได้เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์บางส่วนในไตรมาส 3/2568 และโครงการเหมืองหินแกรนิตแห่งใหม่ในจังหวัดชลบุรี (INSEE Chonburi: ICHO) มีความคืบหน้าตามแผนงานและคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2569

ผลกระทบธุรกิจ: ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง-พลังงาน รายได้-กำไรลดลง

ในไตรมาส 3 ปี 2568 ธุรกิจปูนซีเมนต์มีรายได้จากการขายสุทธิและกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 และ 13.7 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจวัสดุก่อสร้างมีรายได้จากการขายสุทธิและกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาลดลงร้อยละ 19.6 และ 45.7 จากปีก่อนตามลำดับ และธุรกิจพลังงานมีรายได้จากการขายสุทธิและกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาลดลงร้อยละ 15.7 และ 35.3 จากไตรมาสก่อนหน้าตามลำดับ

สถานะทางการเงิน: SCCC คงเงินสดสุทธิ 5.5 พันล้านบาท ลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 SCCC คงระดับยอดเงินสดสุทธิรวม 5.5 พันล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Gearing) ลดลงเหลือร้อยละ 40.4 จากร้อยละ 45.6 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาปรับตัวดีขึ้นเป็น 1.31 เท่า บริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมและยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการ FIT+ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร