TKC เติบโตต่อเนื่องในยุคดิจิทัล มุ่งเน้น New Business และขยายตลาด Cloud ปี 2568

P/E 31.23 YIELD 2.14 ราคา 9.35 (0.00%)

TKC เติบโตต่อเนื่องในยุคดิจิทัล มุ่งเน้น New Business และขยายตลาด Cloud ปี 2568

สวัสดีครับทุกท่าน ขอต้อนรับสู่งาน Opportunity Day ประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ของบริษัท เทิร์นคีย์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด มหาชน (TKC) ในวันนี้เราจะมาสรุปผลการดำเนินงานและทิศทางธุรกิจของ TKC โดยมีผู้ร่วมนำเสนอคือ คุณลดาการ มีแต้ม รองกรรมการผู้จัดการ สายการเงินและบัญชี, ดร. ภาณุพัฒน์ ผู้เจริญ ผู้อำนวยการแผนกพัฒนาธุรกิจ, และผม ปิยะ จิราภาพงศา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการ

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเริ่มด้วยวิดีโอแนะนำบริษัท TKC ครับ

TKC ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2546 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการให้บริการด้านวิศวกรรมโทรคมนาคมและ ICT ตลอดระยะเวลา 10 ปี บริษัทได้พัฒนาความเชี่ยวชาญจนกระทั่งในปี 2557 ได้เป็น Partner กับ Huawei ในระดับ Tier สูงสุดในประเทศ หรือที่เรียกว่า Strategic Partner

ในปีถัดมา 2558 TKC ได้รับโครงการใหญ่ในการติดตั้งระบบศูนย์สำรองข้อมูล Cloud ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ (MOC) ซึ่งถือเป็นการทำ Cloud แห่งแรกของภาครัฐ นอกจากนี้ TKC ยังได้รับเลือกเป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้ารับรางวัล Global Supplier ของ Huawei ที่เซินเจิ้น ประเทศจีน

ในปี 2560 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 200 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายกิจการ และได้รับการแต่งตั้งเป็น Value Added Partner (VIP) ซึ่งเป็น Tier สูงสุดของ Huawei ในการเป็น Partner ขาย Product นอกจากนี้ TKC ยังได้เข้าถือหุ้นในบริษัท IBS Corporation ในสัดส่วน 99.6% เพื่อรองรับการขยายงานในส่วนของ Ericsson และ Nokia

ในปี 2563 TKC ได้ให้บริการติดตั้งและออกแบบโครงข่าย 5G และออกแบบติดตั้งโครงการงาน Cloud ภาครัฐ (GTC Cloud) ของ NT โดยร่วมกับพันธมิตร นอกจากนี้ IBS บริษัทย่อยยังได้จดอนุสิทธิบัตรร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เพื่อพัฒนาเครื่องชาร์จ และจดแบรนด์ในชื่อ Evity Charger

ในปี 2564 TKC ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน และในปี 2565 ได้เข้าตลาด SET เมื่อวันที่ 17 มกราคม

ในปี 2566 TKC มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 300 ล้านบาท เป็น 400 ล้านบาท และได้ทำ M&A โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท แอดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด มหาชน (AIT) ในสัดส่วน 24.38%

ในปีที่ผ่านมา TKC ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท วันทูวัน โปรเฟสชั่นแนล จำกัด จากบริษัท Peer For You จำกัด มหาชน จำนวน 2 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Sky CC เรียบร้อยแล้ว

ในปีนี้ TKC ได้จัดทำระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Smart Building และได้เปิดตัว Product ใหม่ชื่อว่า Thai CA ซึ่งจะมีการขยายความในรายละเอียดต่อไป

ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 TKC ได้ถือหุ้นสามัญเพิ่มของ AIT รวมทั้งหมด 34.9%

ในด้านมาตรฐานรับรอง ISO บริษัทได้รับการรับรอง ISO เพิ่มอีก 3 ใบ ได้แก่ ISO 27001 เวอร์ชั่น 2022 (ระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ), ISO 29110 เวอร์ชั่น 2018 (Software Engineering), และ ISO 45001 (ESG - ระบบการบริหารจัดการชีวอนามัยและความปลอดภัย)

วิสัยทัศน์และพันธกิจของ TKC ยังคงเดิม คือการเป็นผู้นำในด้าน Digital Solution สำหรับงานโทรคมนาคมและ ICT

ปัจจุบันธุรกิจของ TKC แบ่งออกเป็น 3 Category หลัก ได้แก่ Core Business, New Business, และ JV & M&A โดยเทคโนโลยีหรือ Business ของ TKC แบ่งออกเป็น 10 สาขา ได้แก่ Cloud Solution, Cyber Security, Smart Solution, Software Development, Green Solution, Autonomous System, Telecom (Core Business), Network Infrastructure, Data Communication (ICT Infrastructure), และ Public Safety

งานโทรคมนาคมในปีที่ผ่านมามีการทำงานที่เกี่ยวกับ Mobile Network Installation (3G, 5G), Satellite, Fiber Optic, ระบบรถยนต์อัจฉริยะ (Autonomous Car), และ IoT Device โดยเน้นไปที่ Use Case ของระบบ Mobility (5G Use Case) หรือ Public/Private Network, Underground Cabling, และ Public Warning System

งาน Enterprise Business มีงานต่อเนื่องในเรื่อง Network Infrastructure, Server & Storage System, Big Data, Drone, Smart Building, และ Smart Airport โดยในปีนี้และปีถัดไปจะเน้นในเรื่อง Smart Solution ต่างๆ เช่น Smart Farming, Smart Factory, Smart Utility, Smart Grid, Smart City, Telehealth, และ Digital Tax Refund

งาน Public Safety ในปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องของ Trunk Radio, Cyber, และ Smart Logistics ปัจจุบันยังเน้นการขยายเครือข่าย Trunk Radio และการให้บริการให้ความเชื่อมั่น (Trusted Service) เช่น e-KYC, e-Signature, e-Timestamp, e-Seal, และ Thai CA (CA Provider) รวมถึง Security Access และ Surveillance System

งาน Digital Services มี Cloud Implementer, Contact Center, SLA Management (After-Sale Service), Contact Center ที่ใช้ AI Chatbot, Blockchain, Big Data, ERP Service (กลุ่มธนาคาร), และ AI Service ด้านต่างๆ

งาน EdTech มี Computer-Based Exam Platform, Cyber Security Training & Certify, และ Smart Classroom/Learning

งาน Green Solution หลักๆ มาจาก IBS Corporation ซึ่งมี Solar System, EV Charger, EV Car/Bike, และ Carbon Credit Platform

Smart Solution ของ TKC มี 11 Category ได้แก่ Smart Utility, Smart Farming, Cyber Security, Autonomous Solution (Autonomous Car, Robotic/Robot), Smart Organized Communication Cable, Smart Logistics, Smart Learning, Platform (Software), Smart Hospital, Smart Building/Airport, และ Cloud Service

สิ่งที่จะมาช่วยสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับ TKC คือ Business ที่ไป JV เช่น JV กับ Global Tax Free (เบอร์ 1 ของเอเชีย) เพื่อประเมินงาน Digital Tax Solution, JV กับ ATA (เบอร์ 1 ของจีน) ที่เป็นเรื่องของ Platform การสอบ, JV กับ Extreme (ด้าน EdTech - Coding, Technology), JV กับ สยามอีวี (Green Solution - Carbon Credit Platform, EV Car/Charger/Bike, Solar System), JV กับ EWT (Express World Tracking - Smart Logistics), และการเข้าถือหุ้น 25% ใน OTP (Sky CC - Contact Center ที่ใช้ AI Chatbot)

TKC มี M&A กับ AIT (ถือหุ้น 34.9%) และ Sky CC (ถือหุ้น 25%) ซึ่งรวมกันทั้งหมด (Sky, TKC, AIT) ทำให้รายได้รวมถือว่าเป็นเบอร์ 1 ในวงการ ICT

โครงสร้างกลุ่ม TKC ประกอบด้วย TKC, AIT (34.9%), IBS (99%), East Gate Tech (Cyber Security), ATF Testing Thailand (สอบออนไลน์), สยามอีวี (49%), Extreme (51% ผ่าน Private Dam Technology Service), EWT, GTF, และ Sky CC ซึ่งทั้งหมดเป็นการเติบโตในรูปของ JV

TKC มุ่งเน้นการเติบโตใน Core Business, New Business (Smart Solution, Cyber Security, Cloud) และการทำ JV กับบริษัทต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้และความมั่นคง รวมถึงการทำ M&A กับบริษัท AIT หรือ Sky CC

ลูกค้าหลักของ TKC เป็นภาครัฐและภาคเอกชนในสัดส่วน 60:40 โดยภาครัฐ ได้แก่ NT, ไปรษณีย์ไทย, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, AOT, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, และ ธ.ก.ส. ส่วนภาคเอกชน ได้แก่ True, Pro Insight, Interlink, และ Force

ต่อไปเป็นข้อมูลทางการเงินของไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยคุณลดาการ มีแต้ม

รายได้รวมของ TKC ในปี 2567 อยู่ที่ 2,425 ล้านบาท ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีรายได้ 838 ล้านบาท และไตรมาสที่ 2 มีรายได้ 404 ล้านบาท

กำไรขั้นต้นครึ่งปีแรกของปี 2568 มีจำนวน 136 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 11%

กำไรขั้นต้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 อยู่ที่ 133 ล้านบาท, ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 86 ล้านบาท, ไตรมาสที่ 2 ปี 2567 อยู่ที่ 117 ล้านบาท, และไตรมาสที่ 2 ปี 2568 อยู่ที่ 50 ล้านบาท โดยกำไรขั้นต้นลดลงเนื่องจากรายได้ที่ลดลงเป็นสัดส่วนเดียวกัน

อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อยู่ที่ 12%

กำไรสุทธิครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 70 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 6

กำไรสุทธิไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 อยู่ที่ 82 ล้านบาท และปี 2568 อยู่ที่ 19 ล้านบาท การลดลงเนื่องจากรายได้ลดลงเช่นกัน อัตรากำไรสุทธิของปี 2568 ไตรมาส 2 อยู่ที่ 5%

รายได้แยกตามประเภทธุรกิจของครึ่งปีแรก Core Business อยู่ที่ 1,020 ล้านบาท, New Business อยู่ที่ 200 ล้านบาท, และ JV อยู่ที่ 22 ล้านบาท

เปรียบเทียบ Target กับรายได้ที่รับรู้จริง Core Business ตั้ง Target ไว้ที่ 1,940 ล้านบาท, ไตรมาสที่ 1 ทำได้ 672 ล้านบาท, ไตรมาสที่ 2 ทำได้ 348 ล้านบาท รวมกัน 1,020 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของทั้งปี

Financial Ratio: อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) อยู่ที่ร้อยละ 3, อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 3 เช่นกัน, และ หนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE) อยู่ที่ 0.36 เท่า

Backlog ของไตรมาส 2 ปี 2568: Core Business อยู่ที่ 1,852 ล้านบาท, New Business อยู่ที่ 181 ล้านบาท, และ JV 146 ล้านบาท รวมทั้งหมด 2,179 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2568 ที่ 60%

TKC มีมาตรการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาหรือเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น โดยมีการควบคุมต้นทุนทั้งโครงการและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ควบคุมต้นทุนทั้งบริษัท เพื่อให้ Gross Margin และกำไรสุทธิ ดีขึ้น

ต่อไปเป็นวิดีโอ Presentation เกี่ยวกับ Thai CA โดยคุณปิยะ จิราภาพงศา

Thai CA เป็นบริการที่ใช้ในการรับรองอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การทำธุรกรรมแบบอิเล็กทรอนิกส์มีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ประโยชน์มีกับประชาชนทั่วไปและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์สามารถระบุตัวตนผู้ทำธุรกรรมและเพิ่มความน่าเชื่อถือว่าธุรกรรมนั้นทำกับบุคคลที่ได้มีการยืนยันตัวตนแล้ว ทำให้การทำธุรกรรมมีความปลอดภัย การเปิดตัว Thai CA จึงเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐาน Digital Trust ที่แข็งแกร่ง เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลที่น่าเชื่อถือและยั่งยืน

ต่อไปขอส่งต่อให้ ดร. ภาณุพัฒน์ นำเสนอ Agenda ที่ 4 แพลนปี 2568 และขยายความเรื่อง Thai CA

Thai CA เป็น Solution ใหม่ของ TKC เป็นการให้บริการในการเป็นผู้รับ ให้บริการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้ Thailand National Root CA เป็นการให้บริการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถใช้กับใบรับรองประเภทบุคคล องค์กร หรือเจ้าหน้าที่องค์กร โดยใช้ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ในการลงนามเอกสารดิจิทัล หรือยืนยันตัวตนหลายรูปแบบที่เกี่ยวกับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หากท่านใดสนใจสามารถเข้าไปดูทางเว็บไซต์ของ Thai CA

นอกจากการให้บริการ Thai CA แล้ว TKC ยังมุ่งมั่นที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนผ่าน 3 ธุรกิจหลัก คือ Core Business, New Business, และ JV & M&A โดยจะเน้นหนักที่ New Business ที่เป็น Smart Solution ต่างๆ JV และ M&A ซึ่งคาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ต่อปี จากโอกาสในภาครัฐและเอกชนที่ยังต้องมีการลงทุนในเรื่อง Digital Transformation และนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนจากภาครัฐ

Solution ของ TKC ส่งเสริมกับ 7 นโยบายภาครัฐ ที่จะส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่

  1. TKC Smart Farm: Solution ทางด้านดิจิทัลที่เน้นย้ำในเรื่อง Smart Farm/Agriculture เป็นการยกระดับการเกษตรแบบดั้งเดิมสู่เกษตรทันสมัย ภายใต้แนวคิดตลาดนำนวัตกรรมเสริมเพิ่มรายได้ให้กลุ่มเกษตรกร
  2. TKC Data Center Solution: นำเทคโนโลยีมากระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรากฐานสนับสนุนรัฐบาลดิจิทัล โดยพัฒนา Solution ทางด้าน Data Center และ Cloud เพื่อให้บริการและบริหารงานที่มีประสิทธิภาพทางด้าน Cloud
  3. TKC Smart Hospital: นำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มการเข้าถึงระบบสุขภาพอย่างทั่วถึง และบริการสุขภาพที่สะดวกและเท่าเทียมในแต่ละพื้นที่ของประเทศ
  4. TKC Green Solution: นำเทคโนโลยีมาส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว โดยมุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานหลัก
  5. TKC Smart Learning: ใช้แนวเทคโนโลยีดิจิทัล (เทคโนโลยีและ Platform) มาลดช่องว่างทางการศึกษาในชุมชนที่ห่างไกล ส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของน้องๆ นักเรียน
  6. TKC Cyber Security Investigation Platform: Solution ที่เกี่ยวกับการป้องกันอาชญากรรมทางด้าน Cyber มี Platform สืบสวนเพื่อสร้างความปลอดภัยทางด้านดิจิทัล
  7. TKC Digital Document Platform: เพิ่มความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ประหยัด และรองรับการใช้งานทุกที่ทุกเวลา

Presentation ในวันนี้ได้จบลงแล้ว หากท่านนักลงทุนมีคำถาม สามารถส่งคำถามมาได้ตามช่องทางที่เปิดไว้แล้วทุกช่องทาง

คำถามที่ 1: อยากทราบว่า Outlook ธุรกิจของ TKC ในครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร

ตอบ: ครึ่งปีหลังเทียบกับครึ่งปีแรก บริษัทมองว่าเป็นบวก เนื่องจากครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากการเลื่อนโครงการจากภาครัฐ ทำให้การรับรู้รายได้เลื่อนออกไป กำไรจึงลดลง แต่ในครึ่งปีหลังมีโครงการที่ผ่านการอนุมัติแล้วและกำลังจะทยอยเข้าสู่การดำเนินงาน รวมถึงมี Pipeline งานใหม่จากภาครัฐ ภาคเอกชน หรือลูกค้าใหม่ๆ ที่เข้ามา ที่อยู่ในระหว่างการประกาศผล ซึ่งจะช่วยให้การรับรู้รายได้ของบริษัทกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ดีกว่าครึ่งปีแรก นอกจากนี้บริษัทยังได้เร่งเดินหน้าขยายตลาดใหม่ๆ ที่เรียกว่า New Business ต่างๆ โดยเฉพาะบริการทางด้าน Cloud, Smart Solution, และ Cyber Security ที่มีความต้องการสูง ซึ่งจะเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงของบริษัท คือไม่ต้องพึ่งพิงงานภาครัฐ ไม่ต้องพึ่งพิงงานเก่าๆ อย่างเดียว แถมยังมีงานใหม่ๆ เข้ามาเติม แล้วก็ยังเป็นงานที่มี Margin สูงๆ (ไม่น้อยกว่า 20%) ซึ่งจะช่วยสร้างความเติบโตที่มั่นคงในระยะยาวให้กับ TKC ดังนั้นสรุปก็คือบริษัทมั่นใจว่าครึ่งปีหลังจะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นและมุมมองเป็นบวก สามารถสร้างคุณค่าให้กับนักลงทุนได้

คำถาม: แนวโน้มรายได้และกำไร

ตอบ: แนวโน้มรายได้และกำไรจะดีขึ้นในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะงานที่อยู่ในช่วง New Business (Cloud, Software) จะมี Margin สูง ทำให้กำไรก็จะดีขึ้น

คำถาม: ขณะนี้ TKC มีมูลค่างานในมือ (Backlog) เท่าไหร่ และคาดว่าจะรับรู้รายได้เท่าไหร่

ตอบ: Backlog ของ TKC ตอนนี้มี 2,179 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2568 ที่ 60%

คำถาม: บริษัทมีมาตรการอย่างไรในการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาหรือเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ (ไตรมาส 3)

ตอบ: บริษัทมีการควบคุมต้นทุนทั้งโครงการและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ควบคุมต้นทุนทั้งบริษัท เพื่อที่จะทำให้ Gross Margin ดีขึ้นและกำไรสุทธิ ดีขึ้น

คำถาม: กลยุทธ์การขยายตัวในธุรกิจ Megatrend และ Smart Solution จะช่วยหนุนกำไรในไตรมาสที่ 3 อย่างไรบ้าง

ตอบ: ที่จะมาหนุนอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 3 และ 4 คือเรื่องของ Cloud Solution และ Application ที่เกี่ยวกับ Cloud ที่เข้ามา เราเชื่อว่ายังมีอีกหลายโครงการที่เราพยายามจะพัฒนาและให้เกิดเป็นรายได้ขึ้นมาที่เรามุ่งเน้นในไตรมาสที่ 3 และ 4 รวมถึงโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Platform Digital ต่างๆ ที่จะเข้ามาในช่วงไตรมาสที่ 3

ผมอยากจะเสริมในส่วนของการควบคุมต้นทุน ในแต่ละโครงการมีการทำควบคุม Budget อย่างรัดกุม ในการดำเนินโครงการ และมีเป้าหมายที่จะทำทุกโครงการให้มีกำไร และมีกำไรขั้นต้นที่เพียงพอและเหมาะสม ดังนั้นเรามีมาตรการในการตรวจสอบที่มาที่ไปของการใช้เงิน การวางแผนใช้เงินต่างๆ ที่รัดกุม อยากให้ผู้ลงทุนไว้ใจว่าเราทำงานอย่างโปร่งใส และพยายามที่จะควบคุมต้นทุนเพื่อให้เกิดกำไรขั้นต้นที่มากที่สุดที่จะเป็นไปได้

ขอเน้นอีกเรื่องในเรื่องของ ESG ของบริษัท บริษัทได้ให้ความสำคัญของเรื่อง ESG มาก ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องขึ้นมา และมีการขับเคลื่อน ในเรื่องของ E คือ Solution ทุกอย่างของที่เรา Design ให้กับลูกค้า เราคำนึงถึง Solution ทุกอันนั้นอย่างน้อยต้องไปช่วยลด ช่วยองค์กรลูกค้าของเรานั้นลด Carbon Footprint ของเขาได้ และก็การใช้พลังงานในเรื่องของในบริษัทและในองค์กรย่อยของเราเอง ก็มีการประหยัด และอะไรที่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เราก็เอามาใช้ หรือไม่ว่าจะเป็นพวกเล็กๆ น้อยๆ อย่าง อย่าง อย่างพวก ขยะ หรืออะไรอย่างเงี้ย เราพยายามจะทำให้เป็น Zero Waste คือเอาหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ มีอย่างนี้ก็เป็นอย่างน้อยเล็กเล็กน้อยน้อยขึ้นมา ในเรื่องของโซเชียลเนี่ย เราก็มีการให้ทุนนะครับ ให้กับน้องๆ นะครับ ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ นะครับ เพื่ออย่างไม่มีเงื่อนไขนะครับ เพื่อให้เขา เอ่อ เป็น เป็นคลื่นลูกหลังของประเทศนะครับ ไปช่วยพัฒนาแล้ว หวังว่านะครับ เขาจะใช้ความรู้นั้นมาพัฒนาประเทศต่อไปนะครับ เรื่องของ Goverance อย่างที่เมื่อกี้ ทาง ไม่ว่าจะเป็นพี่ลดาการ หรือทาง ดร. แพ ดร. ภาณุพัฒน์ พูดไปแล้วนะครับเรา มีการ ยิ่งรายได้ เอ มันมีการกระเทือนในครึ่งปีแรกเนี่ย เรายิ่งมีการระมัดระวังในการใช้จ่ายแล้วก็ดูความเสี่ยงนี้อย่าง อย่างสำคัญยิ่งยั่วในในการควบคุมต้นทุนต่างๆ นะครับและค่าใช้จ่ายนะครับ ก็อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ เอ่อ ทางบริษัทให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของ ESG นะครับ ผมคิดว่า น่าจะหมดครบถ้วนนะครับไม่มีคำถามเข้ามาแล้วนะครับ ที่ดูอยู่

วันนี้ผมขออนุญาต ขอบคุณทุกท่านนะครับที่สละเวลา มารับชมรับฟังในวันนี้นะครับ แล้วก็ขอขอบพระคุณทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนะครับ ที่ให้ทางบริษัท TKC นะครับ ได้มีส่วนร่วมในงาน Oppday ไตรมาสที่ 2 นี้นะครับ แล้วก็ พบกันใหม่ในครั้งหน้านะครับ เร็วๆ นี้ครับ สวัสดีครับ

โพสต์ล่าสุด